กุญแจ 4 ดอกสู่การสร้างอาณาจักรออนไลน์ด้วยตัวคุณเอง

คุณอาจจะไม่ได้เวลากลับคืนมาอีกเลย

ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจออนไลน์โดยที่ไม่ได้ใช้กุญแจทั้ง 4 ดอกนี้...​

ผมแนะนำให้เตรียมกระดาษกับปากกากันไว้จดโน้ตในส่วนที่สำคัญๆกันด้วยนะครับ เพราะกุญแจ 4 ดอกสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆธุรกิจที่อยู่บนออนไลน์ครับ และควรจะนำไปใช้ทุกข้อแบบไม่มีข้อยกเว้นครับ :)

"ไอเดีย" คือประตูสู่อาณาจักรของคุณ

ถ้ามีคนถามว่า... สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจออนไลน์นั้นคืออะไร?


ผมจะตอบอย่างไม่มีโลเลเลยว่ามันคือ "ไอเดีย" และมันก็คือเจ้ากุญแจดอกแรกนี้นี่เอง!


ถ้า "ไอเดีย" ของสินค้าเราเจ๋ง โดดเด่น คนเข้าใจง่าย ทุกกระบวนการที่ต้องทำตามมาจะง่ายมากๆไม่ว่าจะเป็นการตลาด การขาย ฯลฯ


ผมขอยกตัวอย่างยอดฮิตของวงการหนังสือละกันครับ คุณลองสังเกตดูหนังสือ 3 คู่นี้ดูนะครับ

คุณสังเกตเห็นอะไรบางอย่างไหมครับ?


อย่างแรกเลยก็คือ... หนังสือทางฝั่งซ้ายของ 3 คู่นี้เป็นหนังสือที่ขายดีทั่วโลกระดับ Best sellers


เริ่มต้นที่ 4HWW โดย Tim Ferris ตามมาด้วย Rich Dad Poor Dad โดย Robert T. Kiyosaki และปิดท้ายด้วย Unlimited Power โดย Tony Robbins


ส่วนหนังสือฝั่งขวาเป็นหนังสือที่โลกไม่รู้จัก! 55555


ถ้าเราเปิดหนังสือคู่เหล่านี้มาอ่าน เราจะพบว่าหนังสือแต่ละคู่มีเนื้อหาในเรื่องเดียวกันเลย เช่น 4HWW เนื้อหาหลักคือสอนให้คนอ่านรู้จักกับการ Outsource จ้างงานให้คนอื่นมาทำงานแทนเรา ซึ่งหนังสือฝั่งขวาของ 4HWW ก็สอนเรื่อง Outsource เช่นกัน


เหมือนเลยกับคู่ที่ 2 ฝั่งซ้ายพ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad สอนเรื่องการลงทุนในอสังหาฯ เล่มขวาก็สอนเรื่องการลงทุนในอสังหาฯเช่นกัน


คู่ที่ 3 ก็มาแบบเดียวกันคือเป็นเรื่อง NLP (Neuro Linguistic Programming) เหมือนกัน


สรุปคือเนื้อหาจะพูดเรื่องเดียวกันทั้ง 3 คู่เลย แต่ที่แตกต่างกันอย่างแรกเลยก็คือ "ยอดขาย" 5555555


ทำไมยอดขายถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้ครับ?


ก็เพราะ "ไอเดีย" ในการนำเสนอให้กับคนอ่านแตกต่างกันยังไงล่ะครับ!


ลองดูหนังสือเล่มแรกครับ 4HWW เค้าขาย "ไอเดีย" ว่าถ้าคุณ Outsource หรือจ้างงานเป็นนะ คุณจะสามารถใช้ชีวิตแบบ 4HWW หรือทำงานแค่ 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้!


เล่มที่สอง Rich Dad Poor Dad เค้าขาย "ไอเดีย" เป็นเรื่องราวว่าเค้ามีพ่อสองคน คนนึงพ่อรวย อีกคนพ่อจน พ่อรวยสอนให้ลงทุน สุดท้ายก็นำเนื้อหาเข้าไปสู่เรื่องการลงทุนให้รวยด้วยอสังหาฯ


เล่มที่สาม Unlimited Power เค้าขาย "ไอเดีย" ว่าคุณสามารถมีพลังไร้ขีดจำกัดได้ แล้วก็นำเนื้อหาเข้าสู่การนำ NLP มาประยุกต์ใช้ในชีวิตให้เกิดพลังไร้ขีดจำกัดขึ้นในทุกๆวัน


ส่วนเล่มฝั่งขวาทุกเล่มจะเห็นว่า... ปกแกนำเสนอแบบโต้งๆเลยว่าข้างในเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร Outsource, ลงทุนในอสังหาฯ, NLP


คุณว่าแบบไหนที่คนปกติเห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นอยากเปิดอ่านมากกว่าล่ะ?


ร้อยทั้งร้อยเลือกที่จะซื้อหนังสือเพราะ "ไอเดีย" อันน่าตื่นเต้นที่เค้าขายที่หน้าปกนี่ล่ะครับ!


ไม่มีใครอยากซื้อหนังสือ Outsource ไปอ่านหรอก ถ้าไม่ได้อยากใช้ชีวิตได้แบบ 4HWW

ไม่มีใครอยากซื้อหนังสือการลงทุนในอสังหาฯไปอ่านหรอก ถ้าไม่ได้อยากรวยแบบสิ่งที่พ่อรวยสอน

ไม่มีใครอยากซื้อหนังสือ NLP ไปอ่านหรอก ถ้าไม่ได้อยากมีพลังแบบไร้ขีดจำกัดเพื่อนำไปใช้ชีวิตต่อ


เห็นไหมครับว่า "ไอเดีย" เป็นเรื่องสำคัญ ไอเดียเราต้องเจ๋ง ต้องโดดเด่น ต้องน่าสนใจ แล้วกระบวนการตลาด การขาย ต่อๆไปมันจะง่ายขึ้นมากๆครับ!


หลายๆไอเดียมันแปลกแหวกแนวจนคนที่เห็นก็นำไปทำเป็นไวรัลบอกต่อก็มีเยอะแยะนะครับ


ผมขออนุญาตยกตัวอย่างของ Digital Product ตัวนึง...

P90X เป็นคอร์สสอนออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ยอดขายรวมมากกว่า $1 Billion USD

P90X เป็นคอร์สที่แตกต่างจากคอร์สสอนสร้างกล้ามเนื้ออื่นๆ โดยเค้าจะโดดเด่นที่ "ไอเดีย" ที่เป็นจุดหลักของตัวมันเอง


ก่อนที่ผมจะบอกถึง "ไอเดีย" ของ P90X ผมขอเกริ่นให้ฟังก่อนว่าสมัยนั้นคนออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อจะพบกับปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งซึ่งเค้าเรียกกันว่า Plateaus 


เจ้า Plateaus นี้คืออะไร?


Plateaus คือปัญหาที่เมื่อคนคนหนึ่งออกกำลังกายในท่าซ้ำๆกันต่อเนื่องทุกๆวัน เจ้ากล้ามเนื้อก็จะจำรูปแบบการออกกำลังกายในท่านั้นได้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ... เมื่อกล้ามเนื้อส่วนไหนก็ตามเริ่มคุ้นชินกับท่านั้นๆ เจ้ากล้ามเนื้อชิ้นนั้นก็จะเติบโตช้ามากๆไม่เหมือนกับตอนแรก


ตัว P90X จริงๆแล้วก็มีเนื้อหาสอนด้านในไม่แตกต่างกับคอร์สอื่นๆ แต่เค้าขาย "ไอเดีย" ว่า...

P90X ใช้ "ไอเดีย" ในการขายเป็นคำว่า "Muscle Confusion" นำไปสู่ยอดขาย $1 Billion USD

เค้าโฆษณาอย่างชัดเจนเลยว่า...


ลูกค้า P90X จะไม่พบกับปัญหา Plateaus อีกต่อไปด้วยโปรแกรมการออกกำลังกายที่เค้าเรียกว่า Muscle Confusion!


พอเข้าไปดูในคอร์สแล้วก็จะพบว่าหลักการของ Muscle Confusion ก็คือการออกกำลังกายโดยไม่ใช่ท่าที่ซ้ำๆกันนั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วคอร์สอื่นเค้าก็สอนวิธีนี้เหมือนกันเพื่อไม่ให้ลูกค้าพบกับปัญหา Plateaus


แต่ P90X เลือกที่จะนำกระบวนการการออกกำลังกายแบบท่าไม่ซ้ำมาเรียกใหม่ให้น่าสนใจและสอดคล้องกับปัญหาหลักของลูกค้าว่า Muscle Confusion นั่นเอง (แม้ว่ากระบวนการด้านในของ Muscle Confusion จริงๆก็ไม่ได้แตกต่างจากคอร์สอื่นเลย)


และนี่เป็นที่มาของการสร้างยอดขายที่มากกว่า $1 Billion USD ของ P90X ครับ!


เจ้า Muscle Confusion นี่เป็นไอเดียที่กระจายไปไวมากๆเพราะมีหลายๆคนดราม่าใส่ด้วย เรียกว่าไวรัลกันสุดๆไปเลย 5555

เราน่าจะพอเห็นกันแล้วนะครับว่า "ไอเดีย" ถ้าเจ๋งก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ


กลับกัน... ถ้า "ไอเดีย" ของสินค้าเรามันธรรมดา... อื้อหือ... บอกเลยว่ากระบวนการทุกอย่างที่ตามมาก็จะทำยากขึ้นเยอะครับ


เพราะฉนั้น ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะมีสินค้าหรือบริการอะไรที่ต้องการขายอยู่ก็ตาม...


ลองคิด "ไอเดีย" เจ๋งๆเพื่อเอามานำเสนอให้กับกลุ่มเป้าหมายกันดูครับ เอาให้เจ๋งๆเหมือนตัวอย่างทั้งหลายด้านบนได้เลยครับ!


ส่วนถ้าคุณยังไม่มีสินค้าหรืออยู่ในช่วงออกแบบสินค้าของตัวเองอยู่... เยี่ยมเลยครับ


ลองเอาเรื่องของ "ไอเดีย" นี้เข้าไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบสินค้าของคุณได้เลย!


จากประสบการณ์ของผมผมบอกได้เลยว่าสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายไม่ออก... เกิดจาก "ไอเดีย" มันไม่โดนครับ!


ตอนนี้ถ้าผมมีสินค้าที่ไอเดียไม่โดนอยู่ในมือและไม่สามารถหาไอเดียเจ๋งๆมาเชื่อมต่อกับมันได้...​

ผมเลือกที่จะไม่ขายให้เสียเวลาดีกว่าครับ!


เอาเวลาที่จะพยายามขายสินค้าที่ไอเดียแป้กไปใช้ในการค้นหาไอเดียทำสินค้าใหม่คุ้มเวลากว่าครับ :)


"ไอเดีย" เจ๋งๆก็เปรียบเสมือนกับประตูที่มีความสวยงามน่าดึงดูด แถมยังมีการ์ดคอยกรองคนที่กำลังจะเข้าสู่อาณาจักรของเราอีกชั้นด้วยครับ


เรามาดูกุญแจดอกต่อไปกันต่อเลยครับ...

"ลิสต์" คือมันสมองของอาณาจักรคุณ

ถ้าวันนี้คุณขายของแล้วไม่มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้อย่างมีประสิทธิภาพ...


ผมบอกเลยว่า... ธุรกิจของคุณอาจจะต้องหายไปในอนาคตครับ


คำว่าเก็บไว้อย่างมีประสิทธิภาพของผมหมายถึง... การจัดเก็บที่ต้องมีเครื่องมือให้เราแยกแยะได้ว่าลูกค้าคนไหนซื้ออะไรจากเราไปแล้วบ้าง ซื้อไปเมื่อไหร่ เปิดอ่านข้อความจากเราล่าสุดเมื่อไหร่ เข้ามาอ่านบทความอะไรบ้างบนเว็บของเรา ฯลฯ


พูดง่ายๆคือ... ต้องเก็บข้อมูลพฤติกรรมทุกอย่างของลูกค้าไว้ทั้งหมด และเราต้องเข้าไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ รวมไปถึงต้องสามารถติดต่อลูกค้ากลุ่มที่ต้องการได้ทันทีที่เราต้องการ


และฐานข้อมูลลูกค้าตรงนี้ล่ะครับที่ผมเรียกว่า "ลิสต์" หรือ List นั่นเอง

นี่คือกุญแจดอกที่สองที่คุณจะต้องนำไปใช้กับธุรกิจของคุณครับ


ผมขออนุญาตเรียกแบบทับศัพท์นะครับ เคยแปลเป็นไทยว่า "รายชื่อ" "รายชื่อผู้มุ่งหวัง" "รายชื่อลูกค้า" "รายชื่ออีเมล" แล้วมันแปลกๆไม่ครอบคลุมยังไงไม่รู้ ตั้งแต่นี้ไปเลยขอเรียกแบบทับศัพท์ว่า "ลิสต์" เลยละกันนะครับ


เหตุผลก่อนเลยว่า... ทำไมเราต้องมี "ลิสต์"?


ผมขออนุญาตให้ภาพมันฟ้องถึงเหตุผลครับ...

รายการขายเป็นรายนาทีของผมหลังจากที่ผมส่งจดหมายการขายเข้าไปใน "ลิสต์" ผ่านทางอีเมล

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในภาพด้านบนคือการที่ผมส่งอีเมลเพื่อทำการขาย Digital Product ตัวใหม่ของผมเข้าไปที่ "ลิสต์" ที่ประกอบไปด้วยลูกค้าที่มีการซื้อ Digital Product ตัวอื่นของผมไปแล้ว โดยที่...


เจ้า Digital Product ตัวใหม่ของผมเพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆ ยังไม่มีใครรู้จัก


พอผมทำเสร็จ ผมไม่ต้องไปลงโฆษณาที่ไหนเพื่อทำการขายมัน เพราะว่าผมมี "ลิสต์" ของลูกค้าเก่าอยู่ในมือ


ผมก็แค่ทำเพจแล้วเขียนจดหมายการขายลงไป บวกกับปุ่มจ่ายเงินเข้าไปอีกปุ่ม


แล้วผมก็แค่ส่งอีเมลเข้าไปหาคนใน "ลิสต์" ของผมเท่านั้น บูมมมมมม!


เงินก็จะไหลเข้ามากระเป๋าผมแบบในภาพด้านบนโดยที่เราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาใดๆเลย


และนี่คือคำตอบง่ายๆของคำถามที่ผมถามว่า... ทำไมคุณต้องมี "ลิสต์"?


ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์แบบภาพด้านบน... "ลิสต์" ช่วยคุณได้!


และนี่ไม่ใช่เรื่องฟลุคแต่อย่างใดเพราะผมใช้โมเดลนี้ในการทำเงินมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนแล้ว

 

จนทุกวันนี้มันก็ยังทำเงินได้ไม่ต่างจาก 10 ปีก่อนเลย!

(ลองคลิกที่รูปเพื่อขยายดูผลลัพธ์สมัยก่อนของผมได้ครับ)

ผลลัพธ์สมัยที่ผมทำเมื่อปี 2008

2009 ก็ยังใช้ได้ดีเหมือนเดิม

2018 จนวันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป

ไม่ใช่แต่เฉพาะผมที่ได้ผล แต่หลายๆคนที่ผมให้คำปรึกษาก็ใช้ได้ผลไม่ต่างกับผมเลย...


ลองดูรูปตัวอย่างข้างล่างครับ แค่เค้าทำการสร้าง "ลิสต์" เค้าก็ได้เงินเพิ่มมาฟรีๆเริ่มต้นที่ $700 และมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ!

และนี่คือพลังของการมี "ลิสต์" ในมือครับ ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือเหมือนเรามี Traffic อยู่ในมือตลอดเวลา

อยากได้ Traffic หรือผู้เข้าชมเว็บของเราเมื่อไหร่เราก็แค่ส่งอีเมลหรือข้อความไปหาพวกเค้าครับ


เหมือนสำนวนที่เราเคยได้ยินล่ะครับว่า...


"Money is in the List"


จริงซะยิ่งกว่าจริงครับ จากภาพด้านบนเราจะเห็นแล้วเงินมันอยู่ใน "ลิสต์" ครับ 

ถ้ามี "ลิสต์" อยู่ในมือ ก็เหมือนกับมีตู้เอทีเอ็มส่วนตัวล่ะครับที่เราจะกดเงินออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ :)


ใครทำธุรกิจแล้วไม่เคยสร้าง "ลิสต์" เลย แค่ขายของหนึ่งชิ้นแล้วก็จบกันไป... แบบนี้ถือว่าพลาดอย่างมหันต์ครับ!


ถ้าคุณทำแบบนั้นอยู่ รีบไปแก้ไขให้ธุรกิจของตัวเองเริ่มทำการสร้าง "ลิสต์" เลยครับ :)


วิธีการเริ่มต้นสร้าง "ลิสต์" ที่ดีที่สุดก็คือ... ไม่ว่าเราจะมีอะไรอยู่ในมือก็ตาม ทำให้มันเก็บ "ลิสต์" ให้หมดทุกช่องทางไปเลย!


จะเว็บ จะแอป จะแฟนเพจ จะแชนแนล Youtube ฯลฯ ทำได้เกือบหมดครับ


ลองมาดูไอเดียการสร้าง "ลิสต์" กันครับ...

ถ้าเราเป็นเว็บบทความหรือข่าวสาร ก็อาจจะวางกล่องให้คนอ่านกรอกอีเมลเพื่อรับแจ้งเวลาเรามีบทความใหม่ เมื่อเค้ากรอกอีเมล เค้าก็จะมาอยู่ในลิสต์ของเรา!

แต่ตัวอย่างข้างบนนี้ต้องบอกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเท่าไหร่ครับ เพราะว่าคนที่เห็นกล่องนี้อาจจะกรอกอีเมลใส่เข้าไปไม่กี่คนเพราะ...


เค้าไม่รู้ว่าอนาคตเค้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง มันไม่ชัดเจน!


ลองมาดูตัวอย่างที่ดีขึ้นครับ

อันนี้ให้กรอกอีเมลเพื่อรับอัปเดทข่าวสารและคอร์ส Marketing 101 สำหรับนักเขียนอิสระฟรีๆ

แบบนี้จะเห็นว่ามันมีความชัดเจนเพิ่มขึ้นมาว่านอกจากจะได้รับข่าวสารจากเราแล้วคุณยังจะได้รับคอร์ส "Marketing 101 for freelance writers" ฟรีๆด้วยนะ 


ก็มีโอกาสมากขึ้นที่คนอ่านจะกรอกอีเมลให้เค้าครับ :)


มาดูแบบต่อไปกัน...

คราวนี้เป็นป๊อปอัปขึ้นมาให้กรอกชื่อและอีเมลเพื่อรับไฟล์ Worksheet สำหรับทำ Customer Avatar ครับ แถมมีคำถามอีก 2 คำถามเพื่อทำการแยกแยะด้วยว่าคนกรอกเป็น Agency หรือเป็นคนที่ดูแลเกี่ยวกับการตลาด/การขายด้วยไหม?

อันนี้เป็นแบบที่ผมคาดเดาได้เลยว่าจะมีการกรอกชื่อและอีเมลมากที่สุดจากตัวอย่างที่ผ่านๆมา


เพราะ... อย่างแรกเลยคือ หน้านี้เค้าจะเป็นบทความสอนการสร้าง Customer Avatar ว่าต้องสร้างยังไง Customer Avatar ควรจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง


พอสอนเสร็จเค้าก็จะมีปุ่ม "Get Your Worksheet" อารมณ์ประมาณพอเรารู้แล้วว่าต้องสร้าง Customer Avatar ยังไงให้เจ๋ง เค้าก็มีข้อเสนอแจกไฟล์เอกสาร Worksheet ให้เราเอาไปกรอกข้อมูลได้เลยโดยที่ไม่ต้องมานั่งทำไฟล์เองจากศูนย์


พอกดปุ่มเสร็จก็จะมีแบบฟอร์มตามรูปป๊อปอัปขึ้นมา...


จะเห็นว่าการสร้าง "ลิสต์" นั้นส่วนใหญ่แล้วต่างชาติจะนิยมใช้อีเมลเป็นข้อมูลหลักนะครับ เค้าจะไม่ค่อยสนใจ Like บน Facebook หรือ Followers บน Social network ต่างๆเท่าไหร่ ไม่เหมือนบ้านเราที่บ้า Like บนแฟนเพจกันมาก


ทุกอย่างมันมีเหตุผลครับ...


เพราะต่างชาติ พวกโปรเค้าเห็นความสำคัญของ "ลิสต์" กันมากถึงมากที่สุดครับว่าสร้างมาแล้วมันต้องมีโอกาสสูญหายน้อยมากๆๆๆในอนาคต เค้าเลยเลือกอีเมลเป็นช่องทางหลักของการสร้าง "ลิสต์" กันครับ


ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคนอาจจะยี้กับอีเมล แล้วบอกว่าสมัยนี้เค้าไม่อ่านอีเมลกันแล้ว เค้าเล่นแต่โซเชียล


ก็ถูกส่วนนึงครับ และก็ผิดส่วนนึงด้วย


ถูกตรงที่ปัจจุบันใครๆก็เล่นโซเชียลครับ แต่ผิดตรงที่คนสมัยนี้เค้าไม่อ่านอีเมลกันแล้ว... ที่เค้าไม่อ่านกันเพราะคนส่งอีเมลมาส่วนใหญ่มันส่งขยะอะไรก็ไม่รู้มาไงครับ เค้าเลยไม่อ่านกัน


ผมลองถามคุณตอนนี้เลยครับ...


ถ้าผมบอกคุณว่าให้ไปที่เว็บผมแล้วกรอกอีเมลตอนนี้เลย แล้วผมจะส่งอีเมลไปสอน "วิธีการสร้างลิสต์ที่จะทำเงินให้คุณตลอด 10 ปี" ทันที


คุณจะไปกรอกอีเมลให้ผมแล้วรีบเปิดอ่านอย่างใจจดใจจ่อเลยไหมครับ?


เห็นไหมครับว่าจริงๆแล้วอีเมลมันยังเวิร์ค?


แต่คนที่บอกว่ามันไม่เวิร์คแล้วคือคนที่ทำไม่ถูกวิธี ทำไม่ได้ผล หรือไม่เคยทำแล้วบ่นไปเรื่อยมากกว่าครับ!


อีกเรื่องที่สำคัญมากๆที่ทำให้พวกโปรไม่ค่อยฝากชีวิตไว้กับโซเชียลกันเพราะว่า Social network มันมาแล้วก็ไปครับ...


จำสมัยที่ Hi5 ดังๆได้ไหมครับ? คนไทยเล่นกันเยอะมากๆๆๆๆ ตอนนี้หายไปไหนแล้วครับ? ไม่ได้หายไป แต่มันมีของใหม่มาแทนเรื่อยๆครับ


สมัยนั้นก็เป็น MySpace ที่มาแทน... แล้วตอนนี้ MySpace หายไปไหนแล้วครับ?


Google เองก็มี Social network ของตัวเองที่ชื่อว่า Google+ ก็มีหลายคนเล่นอยู่พักนึง แต่ตอนนี้ล่ะครับ?


Google+ ล้มไปแล้วครับ เค้าไม่ทำต่อแล้ว...


ผมไม่ได้จะบอกว่า Facebook หรือ Twitter จะหายไปในเร็ววันนี้นะครับ แต่จากประวัติที่ผ่านมา มันจะมีอะไรมาแทนที่ Social network พวกนี้เสมอ


ผิดกับอีเมลที่เป็นหน่วยย่อยที่สุดที่คนใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องมีเกือบทุกคน... และไม่เคยมีอะไรมาแทนที่มันได้ครับ!


Social network พวกนี้จริงๆยังมีประโยชน์มากมายครับ เพราะในปัจจุบันคนเล่น Facebook เยอะมากๆ เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แต่คำแนะนำจากใจผมเลยก็คือ... อย่าไปฝากชีวิตของคุณและธุรกิจของคุณไว้กับ Social network พวกนี้ครับ :)


ผมขอกลับมาที่ "ลิสต์" เรากันต่อ...


ที่ผมบอกว่า "ลิสต์" คือมันสมองของอาณาจักรเราครับ ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น?

"ลิสต์" เป็นเสมือนมันสมองที่จะทำให้เรารู้และเข้าใจในพฤติกรรมของคนที่อยู่ข้างในเพื่อที่เราจะไปทำการตลาด/การขายได้ดียิ่งขึ้น

ทุกวันนี้คุณคงเคยได้ยินคำว่า Big Data บ่อยมากใช่ไหมครับ?


จริงๆแล้วที่บอกกันว่า Big Data เป็นเรื่องอนาคต เป็นเงินเป็นทอง มันเป็นเรื่องจริงแท้ที่สุดครับ และมันก็ไม่ใช่อนาคตแล้วด้วย มันคือปัจจุบันครับ ทุกคนควรจะต้องทำไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม

 

เพราะ Big Data จะสามารถช่วยให้เรารู้พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเราได้ ทำให้เราสามารถชี้นำกลุ่มเป้าหมายได้ ขายสินค้าที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้ ทำการตัดสินใจที่อิงตามสถิติได้ ฯลฯ


แต่สิ่งที่เรามักจะเข้าใจผิดกันก็คือ...


เราต้องเป็นองค์กรใหญ่เท่านั้นถึงจะเหมาะกับการทำ Big Data!


จริงๆแล้วแม้ว่าธุรกิจของเราจะเล็ก... แต่เราก็ต้องทำ Big Data เช่นกันครับ


และจริงๆแล้วนักการตลาดออนไลน์ก็ทำกันมานานนมแล้ว เราอาจจะไม่ได้นิยามมันให้ดูหรูหราเท่านั้นเองครับ แต่หลักการมีความคล้ายคลึงกันมากมายนัก พวกเราเรียกมันว่าการทำ Segmentation ครับ


แปลง่ายๆก็คือหลังจากเก็บคนเข้าไปใน ลิสต์ แล้วเราก็จะแยกแยะด้วยว่าใครบ้างที่สนใจเรื่อง A เค้ามีพฤติกรรมยังไง ชอบสินค้าแนวไหน มีความสนใจด้านไหน ฯลฯ


ซึ่งจุดนี้ล่ะครับที่มันมีความคล้ายคลึงกับการวิเคราะห์ Big Data เพื่อให้เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย แยกแยะกลุ่มเป้าหมายได้ถูกเพื่อที่เราจะได้นำเสนอสินค้าตัวต่อไปได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ!


และนี่ก็คือ "มันสมอง" ของอาณาจักรเรานั่นเองครับ


"ลิสต์" ที่ดีจะเปรียบเสมือนมันสมองอันปราดเปรื่องและมันจะสามารถบอกเราได้ว่าเราควรจะขายอะไรต่อไปให้กับลูกค้าดี!


ไปที่กุญแจดอกถัดไปกันต่อเลยครับ :)

"ฟันแนล" คือเส้นเลือดของอาณาจักรคุณ

ถ้ามีคนมาถามผมว่า...


จะทำยังไงให้เราเอาชนะคู่แข่งได้? ถ้าเราขายของเหมือนกัน ราคาเท่ากัน และต้นทุนในการหาลูกค้าก็เท่ากันอีก


หนึ่งในคำตอบที่ผมจะใช้เป็นประจำก็คือ...


ทำ "ฟันแนล" ให้เหนือกว่าคู่แข่ง แค่นั้นเอง จบปิ้ง!


"ฟันแนล" หรือ Funnel นี่ก็เป็นอีกคำที่ผมขอทับศัพท์ไปเลย เพราะเวลาแปลไทยแล้วมันจะแปลกๆ กรวยๆๆ ชั้นๆๆ อะไรก็ไม่รู้งงๆ 5555


เอารูปมาอธิบายกันดีกว่า...

นี่คือรูปแสดงฟันแนลที่เค้านิยมใช้กัน (ผมก๊อปเค้ามา 555)

แต่ฟันแนลแบบนั้นมันเป็นเลเยอร์ของการทำการตลาด ทุกธุรกิจต้องทำกันอยู่แล้ว คือ...


เราต้อง Attract ให้เค้ามาสนใจก่อน แล้วก็ตามด้วย Convert ก็อาจจะเป็นการกรอกอีเมลเข้าลิสต์หรือโทรคุยกัน แล้วตามด้วย Engage ก็อาจจะเป็นการพูดคุยสอบถามถึงปัญหากันให้มากขึ้นแล้วก็ตามด้วย Sell ก็ขายของนั่นเอง แล้วค่อยตบท้ายด้วย Connect ก็คือการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามเพื่อจะขายของต่อไป 5555


แต่ไอ้ "ฟันแนล" ที่ผมมักใช้ในคำตอบของคำถามด้านบนโน้นผมไม่ได้หมายถึง "ฟันแนล" ในกระบวนการทำการตลาดแบบอันนี้ครับ


ผมหมายถึง "ฟันแนล" ที่ใช้ในกระบวนการขายครับ และนี่ก็คือกุญแจดอกที่สามนั่นเอง "Sales Funnel"


มา! ขอรูปประกอบหน่อย...

นี่คือ "ฟันแนล" ของกระบวนการขายที่ผมหมายถึงครับ

อีกตัวอย่างของ "ฟันแนล" การขายครับ

สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในฟันแนลการขายที่ผมเอาให้ดูไหมครับ?


มันแตกต่างจากที่คนขายของออนไลน์ทั่วไปทำกันตรงไหนครับ?


ใช่แล้วครับ เวลาฟันแนลการขายมันขายของได้ชิ้นนึงแล้ว มันจะพยายามทำการขายของชิ้นถัดไปทันที ถ้าแปลง่ายๆคือ... เราไม่ได้ขายของแค่ชั้นเดียวชิ้นเดียว แต่เราขายของหลายชิ้นในหลายชั้นครับ


ไม่งงใช่ไหมครับ? 5555


ผมขอยกตัวอย่างจากคำถามเดิมด้านบนที่ผมจั่วหัวไว้นะครับ...


จะทำยังไงให้เราเอาชนะคู่แข่งได้? ถ้าเราขายของเหมือนกัน ราคาเท่ากัน และต้นทุนในการหาลูกค้าก็เท่ากันอีก


คนขายของออนไลน์ส่วนใหญ่เค้าขายของกันทีละชิ้นครับ พอลูกค้าซื้อเสร็จก็จบเส้นทางการขายไปเลย


แต่ของเราเมื่อเค้าซื้อชิ้นแรกแล้วเราขายชิ้นต่อไปต่อทันทีครับ!


สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรครับ?


เราจะมีโอกาสสร้างยอดขายต่อลูกค้าหนึ่งหัวได้มากกว่าคู่แข่งไงครับ ต้นทุนหาลูกค้าเท่ากัน แต่เราจะทำยอดขายได้สูงกว่าคู่แข่ง


เหตุการณ์แบบนี้มันจะส่งผลกระทบด้านบวกรุนแรงมากๆสำหรับธุรกิจเราเลยนะครับ


เพราะว่า... เมื่อยอดขายต่อหัวของเราสูงกว่าคู่แข่งแล้ว มันหมายความว่าเราสามารถไปเพิ่มต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ได้


ก็คือเราจะได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ทันที เพราะเราทำยอดขายต่อหัวได้สูงกว่า เราก็จะมีกำลังจ่ายในการหาลูกค้าใหม่ได้มากกว่าคู่แข่งครับ!


ฟันแนลการขายแบบนี้จะสามารถทำให้เราชนะคู่แข่งได้ไม่ยากครับ และเราควรทำกับธุรกิจของเราทุกตัวเช่นกัน!

Dan Kennedy กล่าวไว้ว่า "ใครมีงบไปจ่ายเพื่อหาลูกค้าใหม่สูงกว่า คนนั้นชนะ"

สำหรับกุญแจดอกนี้... ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ


สั้นๆคือ... "ต้องทำ" เพราะ "ฟันแนล" การขายตรงนี้เปรียบเสมือน "เส้นเลือด" ที่จะคอยหล่อเลี้ยงให้อาณาจักรเราสามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการคุกคามของคู่แข่งได้ครับ


ถ้าปัจจุบันคุณมีสินค้าอยู่แค่ชิ้นเดียว... ลองหาทางดูพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าดูครับว่าจะเอาสินค้าอะไรมาขายเป็นชิ้นต่อไปดี เพื่อที่เราจะได้มีฟันแนลการขายได้ครับ


แต่ถ้าสินค้าชิ้นเดียวของคุณเป็น Digital Product ข้อแนะนำของผมก็คือ... ให้ลองแยกสินค้าตัวเดียวของคุณออกเป็น 2 ชิ้นครับ :)


ระหว่างนี้ก็พัฒนาสินค้าตัวต่อไปเพิ่มเข้าไปในฟันแนลการขายเรื่อยๆได้เลยครับ


ยิ่งมีสินค้าเยอะ ยิ่งมีโอกาสสร้างรายได้ต่อหัวมากขึ้นครับ


จะทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งไปแบบยาวๆแน่นอน!


โอเคครับ มาดูกุญแจดอกสุดท้ายกันต่อเลย...

"ไลฟ์สไตล์" คือเข็มทิศนำทางให้อาณาจักร

กุญแจดอกสุดท้ายอันนี้ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมยึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจออนไลน์เมื่อสิบกว่าปีก่อน


ถ้าผมทำธุรกิจออนไลน์แล้วผมยังต้องใช้ชีวิตเหมือนตอนทำธุรกิจออฟไลน์ คือ... ต้องเข้าออฟฟิศ ต้องทำงาน 8:00-16:00 ทำงานจันทร์ถึงศุกร์หรือยันอาทิตย์... แบบนี้ผมก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไรเพราะมันไม่สอดคล้องกับ "ไลฟ์สไตล์" ที่ผมต้องการเลย


มาถึงตอนนี้ผมต้องบอกเลยว่าแค่กุญแจ 3 ดอกด้านบนนี้ก็สามารถทำให้คุณสร้างธุรกิจออนไลน์ที่เหนือกว่าคนส่วนใหญ่ได้แล้ว


แต่คุณจะสามารถสร้าง "ไลฟ์สไตล์" แบบที่คุณต้องการได้ไหม... คุณต้องวางแผนดีๆครับ


ก่อนอื่นเลยคงต้องนิยามก่อนว่า "ไลฟ์สไตล์" ที่คุณต้องการจากการสร้างธุรกิจออนไลน์คือชีวิตแบบไหน?


ผมเห็นคนทำธุรกิจออนไลน์หลายๆคนเข้ามาเริ่มทำเพราะประโยคนี้ 


"Work anywhere, anytime" หรือ "ทำงานที่ไหนก็ได้ เวลาก็ได้"


แต่สุดท้ายต้องไปจบที่...


"Work everywhere, every time" หรือ "ทำงานทุกที่ ทุกเวลา"


คือแบบความหมายมันคนละเรื่องเลยนะครับ แบบแรกคือเราออกแบบชีวิตเองได้ เลือกที่ทำงาน เลือกเวลาทำงานเองได้

แต่ไอ้แบบที่สองคือ... คุณหยุดทำงานไม่ได้ เวลาไปเที่ยวก็ยังต้องแบกโน้ตบุ้กไปทำงานด้วย ประมาณนั้น


ตัวผมเอง "ไลฟ์สไตล์" ผมชัดเจนมาตั้งแต่ต้นคือ... วันนี้ผมยอมทำงานหนักเพื่อที่อนาคตผมจะสามารถทำงานน้อยลงเรื่อยๆได้ และผมต้องการมีเวลาไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ผมสร้างครับ


คุณต้องชัดเจนกับตัวเอง เพราะเวลาเราออกแบบฐานของอาณาจักรเรา เราจะได้เลือกเครื่องมือและแนวทางได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับความต้องการของตัวเราเองครับ


"ไลฟ์สไตล์" ของผมต้องอาศัยระบบอัตโนมัติเข้าช่วยค่อนข้างมาก เพราะผมต้องการ "เวลา" เป็นเรื่องหลัก บางส่วนในฟันแนลการขายของผมที่ผมยอมเสียรายได้ไปเพราะว่าการปิดการขายในส่วนนั้นมันต้องอาศัยแรงและเวลาของผมในการคุยกับลูกค้า


ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ เพียงแต่เราต้องเลือกให้มันสอดคล้องกับความต้องการของเราเท่านั้นเอง :)


กระบวนการต่างๆของธุรกิจผมตั้งแต่เริ่มยันปิดการขายเป็นระบบที่ผมออกแบบให้ทำงานอย่างอัตโนมัติเกือบ 100% เลยครับ


ซึ่งกรณีของผมมันเป็นไปได้เพราะว่าสินค้าของผมเป็น Digital Product 100% การผลิต การจัดส่ง แทบทุกอย่างมันทำอัตโนมัติได้เกือบหมดเลยครับ


ผมขอยกตัวอย่างโดยใช้รูป(อีกแล้ว)...

Automation ตัวอย่างของการติดตามหลังจากแจกอีบุ้กฟรีให้กลุ่มเป้าหมายอ่านแล้วตามด้วยการขายใน Automation ย่อย

Automation ตัวอย่างของการติดตามลูกค้าที่เข้ามาทดลองใช้สินค้าฟรี

Automation ตัวอย่างของการติดตามลูกค้าที่เข้าไปหน้าจ่ายเงิน แต่ไม่ได้ทำการจ่ายให้เรียบร้อย

จริงๆแล้วระบบ Automation ในปัจจุบันมีความชาญฉลาดมาก สามารถทำงานแทนเราได้สบายๆเลยโดยเฉพาะงานติดตามเพื่อพยายามขายสินค้าให้ลูกค้าเนี่ย โคตรเก่งจริงๆครับ มันตามได้ทุกเม็ดเลย 555555


มาถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า... ลองนิยาม "ไลฟ์สไตล์" ของตัวเองออกมาก่อนว่าเป็นแบบไหน


เพราะมันจะเปรียบเสมือน "เข็มทิศ" เพื่อไม่ให้คุณหลงทางกลางคันในระหว่างที่คุณกำลังพยายามสร้างอาณาจักรของตัวเองอยู่


ตัวผมเองเคยหลงไปอยู่ในดง "Work everywhere, every time" มาแล้วจึงอยากนำมาเตือนกันไว้ครับ


และนี่คือกุญแจทั้ง 4 ดอกที่ผมอยากให้คนทำธุรกิจออนไลน์ทุกคนได้ลองเช็คกับตัวเองดู

อย่าฟังผมเล่า แต่จงสัมผัสด้วยตัวคุณเอง

จบกุญแจ 4 ดอกไปแล้ว คุณอาจจะตื่นเต้นว่าโลกนี้มันมีธุรกิจแบบนี้อยู่ด้วยหรอ...


ครับ คำตอบคงอยู่ในใจของคุณแล้ว และวันนี้คุณได้รู้จักกับธุรกิจในรูปแบบของ Digital Product กันไปบ้างแล้ว ผมก็ไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนคนทั่วไปครับที่...


อ่านแล้วตื่นเต้น อยากมีธุรกิจ อยากได้ "ไลฟ์สไตล์" แบบนี้บ้าง


ผ่านไป 2 วัน... ก็ลืมมันไป เข้าสู่วังวนเดิมของชีวิต


วันนี้คุณได้เรียนรู้ไปแล้วถึงกุญแจ 4 ดอก... ผมอยากให้คุณไม่ใช่แค่ฟังผมเล่า แต่อยากให้นำมันไปลองใช้จริงครับ


เพราะถ้าคุณได้ลองนำมันไปประยุกต์ใช้จริงเมื่อไหร่... ธุรกิจที่คุณมีอยู่จะเลเวลอัปไปอีกระดับเลย


หรือถ้าคุณยังไม่มีธุรกิจ เมื่อคุณไปลองสร้างธุรกิจตามหลักของกุญแจ 4 ดอกนี้แล้วล่ะก็...


คุณจะสัมผัสถึงพลังอันมหาศาลของมันเหมือนอย่างที่ผมได้สัมผัสมาแล้วอย่างแน่นอนครับ!

นี่คือโมเดลธุรกิจออนไลน์สำหรับคนยุคใหม่

มาถึงตรงนี้ผมคงต้องบอกแบบเอนเอียงว่า...


ธุรกิจออนไลน์ในรูปแบบของ Digital Product นี่มันเป็นอะไรที่น่าทำสำหรับคนยุคใหม่มากๆ


จริงๆมันเป็นอะไรที่มีคนทำมานานแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ สำหรับคนไทยแล้วมันก็ยังดูใหม่อยู่ดีเพราะมีคนทำน้อยมากจริงๆ


ผมว่ามันเป็นธุรกิจที่เหมาะสำหรับคนที่เริ่มหันมาสนใจตัวเองและคนที่เรารักมากๆ


ถ้าคุณยังไม่มีธุรกิจอะไรในใจ ผมอยากเชียร์อย่างสุดใจให้คุณมาลองเดินทางสร้างอาณาจักร Digital Product ดูครับ


อาจจะทำงานหนักหน่อยในช่วงแรก แต่ผมบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าการเดินทางมากๆ :)


วันนี้คุณอาจจะคิดว่ามีหนทางหลายทางมากในการหาเงินจากอินเทอร์เน็ต วิธีที่ง่ายกว่าการสร้างอาณาจักร Digital Product ก็มีเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นการขายของแบบ e-Commerce ผ่านพวก Marketplace อย่าง Lazada. Shopee หรือจะเป็น Dropship ฯลฯ


แต่ผมอยากฝากไว้นิดนึงเกี่ยวกับเรื่องของ Marketplace...

Marketplace เค้าเล่นเกมที่แตกต่างจากเรา

ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินคำว่า Start-up บ่อยๆ และ Marketplace ตาม Local พวกนี้เค้าก็ทำธุรกิจในแนวทางของ Start-up เกือบทั้งนั้นครับ เกมของเค้ามองไม่ยากครับ


ลองมาดูผลประกอบการของ Lazada และ Shopee กัน (ขอบคุณข้อมูลจาก Marketeer ครับ)

ขาดทุนทุกปี ขาดทุนมากด้วย คุณคิดว่า Lazada กับ Shopee และ Marketplace อื่นๆแนวนี้เค้าทำอะไรอยู่กันแน่ครับ?


โมเดลธุรกิจของพวกเค้าในเฟสนี้ไม่ใช่การทำกำไรจากทั้งคนขายและคนซื้อบนระบบของเค้า


เค้าทุ่มงบการตลาดไปมากมายเพื่อให้คนซื้อและคนขายเข้ามาอยู่ในฐานข้อมูลของเค้าให้มากที่สุด แบบจัดโปรส่วนลดแล้วทาง Marketplace จ่ายส่วนต่างเอง


เรียกว่าคนขายได้เงินเท่าเดิม คนซื้อจ่ายเงินน้อยลง เดี๋ยว Marketplace ออกส่วนต่างให้เอง โคตรใจป้ำ!


พอจะเห็นเกมของเค้าหรือยังครับ?


เกมของเค้าก็คือการสร้างฐานข้อมูลของคนขายและคนซื้อให้มากที่สุดครับ เพื่อในอนาคตเค้าจะได้เอาธุรกิจไปขายให้กับนักลงทุนที่สเกลใหญ่กว่าเค้าแล้วรับเงินก้อนยักษ์ไปแทน ง่ายๆก็คือเค้าขาย Big Data นั่นเอง


นโยบายของเค้าดูเหมือนจะก้ำกึ่งกับการสนับสนุนให้คนขายตัดราคากันว่าไหมครับ?


ก็ถ้าคนขายเค้ามีจำนวนมากขึ้น คนซื้อมากขึ้น รายการซื้อมากขึ้น จำนวนผู้ใช้หรือฐานข้อมูลเค้าก็จะใหญ่ขึ้นไงครับ


ข้อมูลที่ผมได้มาจากคนข้างใน Marketplace (ขอสงวนชื่อไว้ณ.ที่นี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัว) เค้าบอกว่าระบบของ Marketplace เองเค้าจะกระจายให้คนซื้อได้เห็นร้านใหม่ๆที่เพิ่งเปิดมากกว่าร้านกลางๆอีกนะครับ ประมาณว่าเค้าจะแบ่งร้านขายเป็น 3 ระดับ ระดับบนคือพวกแบรนด์ดัง อันนั้นต้องยกให้คนซื้อเห็นบ่อยแน่นอน รายได้ใหญ่ๆจะกระจุกอยู่ที่ระดับนี้ครับ


ระดับต่อมาคือระดับกลาง จะเป็นพวกร้านทั่วไปที่เปิดมาสักพัก พอมียอดขายเรื่อยๆ อันนี้เค้าจะดูแลแบบ... เงียบๆ :P


และต่อมาคือระดับล่าง เป็นพวกร้านเปิดใหม่ที่ระบบจะพยายามดันให้มียอดขายกระจายๆกันไปเพื่อให้ร้านเปิดใหม่รู้สึกว่าลงของแล้วขายได้ จะได้หาของมาลงขายเพิ่มและบอกต่อครับ


ผมก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่ผมได้มามันถูกต้อง 100% หรือไม่ แต่ถ้าถามผมก็ต้องบอกว่ามันก็สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจของ Marketplace เหล่านี้อยู่


และถ้ามันเป็นจริงนั่นก็คือ... เค้าสนับสนุนให้คนมาเปิดร้านใหม่มากๆ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการเปิดร้านใหม่ก็คือดูว่าสินค้าอะไรขายดีอยู่ แล้วก็เอามาตัดราคานั่นเอง!


แบบนี้เองทำให้สินค้าที่ขายดีนั้นมีอายุการทำเงินสั้นมากๆ เพราะคนแย่งกันตัดราคา สินค้าที่ขายดีๆทำเงินให้เราดีๆ จะอยู่ได้ไม่นานนักเพราะจะมีคู่แข่งมาไล่ตัดราคากันนั่นเอง (เวลาโกยได้ต้องรีบโกยเลยครับ)


ผมถึงบอกว่าเราอาจจะเล่น "คนละเกม" กับเค้าอยู่ คือถ้ามันสอดคล้องกับเป้าหมายเราก็โอ


แต่ถ้าไม่... เราก็ต้องพิจารณาดีๆครับ


แน่นอนว่าทางรอดในระยะยาวของการทำ e-Commerce พวกนี้ยังมีอยู่แน่นอนนั่นก็คือการสร้างแบรนด์ของสินค้าเราเอง การเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว หรือแม้แต่การสร้าง Marketplace ขึ้นมาเอง อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าคุณอยากอยู่รอดในตลาดนี้ คุณต้องทำครับ


ส่วนผมก็อย่างที่บอกครับ ผมไม่ชอบลงทุนสูง ไม่ชอบความยุ่งยากของกระบวนการขาย Physical Product รวมไปถึงการที่ต้องมีทีมใหญ่มาบริหารจัดการครับ


ผมย้ำอีกครั้งว่าจุดมุ่งหมายของผมคือ... 


การสร้างรายได้ที่ผมพอใจ (พอใจ + ฟุ่มเฟือยได้บ้าง) และต้องมีเวลากลับมาให้มากที่สุดครับ ไม่ได้ต้องการสร้างบริษัทไปเข้ามหาชนใดๆ


ผมเลยเผ่นไปทำสินค้าดิจิตอลหรือ Digital Product เรียบร้อยโรงเรียนเสรี! 55555

โดยส่วนตัวผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมครับว่า อะไรที่ทำง่ายๆ คนส่วนใหญ่ก็เข้ามาเป็นคู่แข่งของเราได้ง่ายเช่นกัน


ในเมื่อยังไงเราก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำอะไรที่มันสร้างผลลัพธ์ที่เราคาดหวังได้ในระยะยาวไปเลยล่ะ?


ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากฝากไว้ก็คือ...

จงสร้างและควบคุมชีวิตของคุณเองให้ได้
...ไม่อย่างงั้น...
คนอื่นจะเข้ามาควบคุมชีวิตคุณแทน

ผมเชื่อเป็นอย่างสูงว่าข้อมูลที่ผมมอบให้กับคุณในวันนี้จะช่วยคุณสร้างชีวิตที่ดีให้กับคุณได้เหมือนกับที่ผมและเพื่อนๆหลายๆคนได้ทำมาแล้ว :)


ขอให้โชคดีกับการใช้ชีวิตกันครับ ผมจะเป็นหนึ่งคนที่คอยเฝ้ามองและชื่นชมความสำเร็จของคุณ :)

คนไทยคนแรกและคนเดียวในปัจจุบันที่ ClickBank.com ควักกระเป๋าเชิญให้ไปพูดบนเวทีต่างประเทศร่วมกับนักการตลาดออนไลน์ระดับโลกในหัวข้อ "How to start a digital business like a PRO" (ClickBank คือ Marketplace ของสินค้าดิจิตอลอันดับหนึ่งของโลกสร้างยอดขายไปมากกว่า $3 Billion USD - ย้ำว่าไม่ได้จ่ายตังเองเพื่อขอไปขึ้นพูดแปบๆบนเวทีแล้วถ่ายรูปมาอวดโลก)

ปัจจุบันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลรับ-ส่งลูกสองคนไปโรงเรียนพร้อมกับภรรยา ส่องนก เล่นเกม ท่องเที่ยว สอนคนไทย ฯลฯ

คอร์สออนไลน์

IMT

Finding Dollars

คอร์สที่จะสอนให้คุณสามารถสร้างอาณาจักรออนไลน์แนว Digital Product ของคุณเองได้โดยใช้ Know-how ระดับสากล

อยากรู้จักกันให้มากขึ้นไหมครับ?

คลิกที่รูปแม่กุญแจถ้าคุณต้องการรู้เรื่องราวการทำธุรกิจออนไลน์ของผมตั้งแต่สมัยเริ่มต้นจนมาถึงปัจจุบัน
(ระยะเวลายาวนานกว่า 10 ปี)

ปล. โลกนี้หมุนเร็วมาก เวลาที่เราจะได้อยู่กับคนรอบตัวที่เรารักหมดลงไปทุกวินาที จงให้คุณค่าและใช้เวลาไปกับคนที่คุณรักให้มากที่สุดกันนะครับ :)

Copyright 2018, IMT Inspiration & Services - Disclaimer

>