March 25, 2017

สวัสดีครับเพื่อนๆผู้อ่าน

บทความนี้มาช้านิดนึงนะครับ ก่อนหน้านี้จะวุ่นๆไปกับการเตรียมตัวสอน IMT Workshop อยู่น่ะครับ

พอดีสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของการสอนแล้ว เลยพอมีเวลาปลีกตัวมาเขียนบทความนี้น่ะครับ (ผมสอนคลาสละ 3 เสาร์ต่อเนื่องกันครับ)

เอาภาพ IMT Workshop มาฝาก เผื่อเพื่อนๆจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนที่มาเรียนบ้าง

ผมก็ไม่ได้สอนคลาสใหญ่ใดๆนะครับ เป็น Workshop เล็กๆ เป็นกันเองและง่ายๆ ไว้จะมาเล่าเกี่ยวกับ Workshop ให้ฟังทีหลังนะครับ 🙂

กลับมาที่บทความนี้กันครับ เราจะคุยกันเรื่องอะไรในบทความนี้?

บทความก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงรูปแบบของสินค้าไปแล้วทั้งที่แบบจับต้องได้และจับต้องไม่ได้… ผมว่าท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นภาพชัดเจนถึงข้อดีข้อเสียของสินค้าสองรูปแบบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

และถ้าเป็นไปตามที่ผมเดา… ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะให้ความสนใจในตัวสินค้าแบบจับต้องไม่ได้มากกว่า (ก็ผมเขียนเชียร์ซะขนาด)

วันนี้ก็เลยขอมาต่อกันที่เรื่องนี้

หลังจากที่เราเลือกรูปแบบของสินค้าที่อยากทำได้แล้ว… เราก็ต้องมาเลือกตลาดหรือนิช (Niche) ว่าเราจะทำสินค้าขึ้นมาแล้วเอาไปทำตลาดไหนดี เลือกสินค้าแล้วจะพิจารณายังไงว่ามันน่าทำหรือเปล่า และบทความนี้เราก็จะมาพูดถึงเรื่องนี้เป็นหลักครับ

อยากทำสินค้าแบบ Digital Product ของตัวเอง… จะเลือกทำสินค้าอะไรดี?

คือถ้าถามผมนะครับ ผมขอแนะนำให้คุณเริ่มจากการนำสิ่งที่ตัวเองชอบหรือรักมาทำครับ ไอ้ที่คนอื่นเค้าเรียกกันเท่ๆติดปากว่า Passion นั่นล่ะครับ!

ดีดกีต้าร์ เล่นเปียโน เล่นกล้าม ปลูกเห็ด ฯลฯ

คุณชอบหรือรักในเรื่องอะไร ก็จับมันมาทำ Digital Product ครับ

ลองใช้หัวคิดๆๆๆๆๆดูว่า… สิ่งที่เราชอบเนี่ยจะทำยังไงให้คนอื่นสนใจและอยากจ่ายเงินให้เราเพื่อแลกกับมัน

พูดเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ… ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่นะครับ!

ผมแนะนำวิธีง่ายๆดังนี้

ไปที่ ClickBank.com หรือ Udemy.com แล้วค้นหาเรื่องที่เราชอบและรักที่นั่นครับ เราจะพบว่าเรื่องที่เราชอบนั้น… มีคนทำเป็นคอร์สหรือ eBook มาขายแล้ว หรือถ้าไม่เจอ… มันมีนัยสองอย่างครับคือ…

เรื่องที่คุณชอบคือขุมทอง ยังไม่มีใครทำ
เรื่องที่คุณชอบคือความว่างเปล่า ไม่มีใครสนใจอยากซื้อ
ขึ้นอยู่กับดวงครับว่าจะเป็นอันไหน 😛

อ่อ… ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่รู้จัก ClickBank.com กับ Udemy.com ผมจะขออธิบายสั้นๆไว้ตรงนี้ครับ

- ClickBank.com คือศูนย์กลางซื้อขาย Digital Product อันดับหนึ่งในปัจจุบัน
- Udemy.com คือศูนย์กลางซื้อขาย Video course อันดับหนึ่งในปัจจุบัน (ก็ถือว่าเป็น Digital Product เหมือนกัน)

ทีนี้ถ้าคุณพบว่ามีสินค้าที่เกี่ยวกับความชอบของคุณขายอยู่แล้ว… ก็ถือว่าเป็นสัญญานอันดีครับ เพราะนั่นแสดงว่าโลกนี้ยังมีคนอีกส่วนนึงที่ชอบเหมือนกับเรา และมีแนวโน้มว่าจะมีคนสนใจจ่ายเงินเพื่อแลกกับมัน

เอาล่ะครับ หลังจากที่เราพบแล้วว่าสินค้าที่เราคิดไว้มันมีคนทำแล้ว (หรือแม้แต่พบว่ายังไม่มีคนทำ แต่เราก็ตัดสินใจที่จะทำ)

More...

เราควรจะทำอะไรต่อครับ?

ตามหลักทฤษฎีที่พวกผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกกันก็ต้อง… ตรวจสอบเรื่องของอุปสงค์-อุปทานก่อนไงครับ (Demand – Supply ไง)

แล้วทำยังไงล่ะครับ ไอ้การตรวจสอบ Demand – Supply?

ตามหลักทฤษฎี (อีกแล้ว) ที่พวกผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกไว้ก็ต้อง… ใช้เครื่องมือ Google AdWords Keyword Planner สิครับ สำหรับคนที่ไม่รู้จักกับเครื่องมือตัวนี้นะครับ เอาสั้นๆก็คือมันเป็นเครื่องมือที่จะสามารถบอกว่า Keyword หรือคำที่คนใช้ค้นหาบน Google นั้นถูกค้นหาเป็นจำนวนกี่ครั้งต่อเดือน

ตามหลักทฤษฎี (อีกแล้ววววว) ที่ผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกกันก็ต้อง… ดูและเลือกสินค้าที่มันมีคำค้นหาต่อเดือนสูงๆสิครับ นั่นหมายความว่ามันมีอุปสงค์สูงมาก เราก็ทำสินค้าออกมาเพื่อป้อนให้พวกเค้าไป ก็รวยสิครับ!

ครับ รวยครับ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านที่นำวิธีนี้ไปใช้ก็จะสามารถทำเงินแล้วรวยเช่นเดียวกัน ผมหวังว่าอย่างนั้นนะครับ… ขอให้โชคดี

แต่ตัวผมทำวิธีอื่นครับ!

ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรที่แปลกประหลาดครับ อย่างแรกเลยคือนี่คือทฤษฎีที่ทุกคนที่บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญเค้าสอนกัน นั่นหมายความว่าคนที่ทำตลาดออนไลน์ทั้งสินค้าแบบ Physical Product และ Digital Product เกือบทั้งหมดก็ต้องใช้วิธีนี้ – ก็ Red Ocean สิครับ!

และก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ค่า Bid ของการลงโฆษณาสูงขึ้นเรื่อยๆด้วยครับ

ผมยึดถือคติเสมอว่า คนสำเร็จมักจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ครับ ผมเลยหาวิธีคิดแบบใหม่ที่จะทำให้ผมกลายเป็นคนส่วนน้อยขึ้นมา

ลองฟังกันดูครับว่ามันจะได้ผลไหม จริงๆผมไม่ได้อดหลับอดนอนคิดมันขึ้นมาหรอกครับ แต่มันเกิดจากความโง่ของผมที่ตอนนั้นบ้าลงมือทำอย่างเดียวโดยใช้การกระทำมากกว่าสมอง แต่มันบังเอิญได้ผลและทำซ้ำไปซ้ำมาก็ยังได้ผลอยู่… ใช่ครับ มันคือผลลัพธ์จากความบังเอิญบนการกระทำอันไร้สมองของผม!

ผมจะเล่าให้ฟังว่าผมพิจารณาอย่างไรว่าจะทำสินค้าที่เลือกมาไหม เอาแบบสั้นๆคือ…

ตรวจสอบกลุ่มเป้าหมาย ในสองประเด็นคือ

- ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย แม้สินค้าจะทำมาเฉพาะทางมากๆ แต่กลุ่มเป้าหมายต้องกว้างขวางพอ
- ความกระหายของคนกลุ่มนั้น ถึงแม้กลุ่มเป้าหมายจะกว้าง แต่ถ้าเค้าเป็นพวกที่ไม่ควักกระเป๋าแล้วจะทำไปทำไม

พูดดูเหมือนง่ายอีกแล้ว ผมจะยกตัวอย่างจากกรณีศึกษาของสินค้าของผมเองเลยละกัน…

FasterIM Opt-in Plug-in for WordPress

กรุณาอย่าบ่นว่าชื่อเห่ย ผมแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มันคือการตั้งชื่อครั้งแรกของสินค้า Digital ของผม 555

สินค้าตัวนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือคนที่ใช้ WordPress และต้องการมีป๊อปอัปขึ้นมาเพื่อให้ผู้เข้าชมกรอกชื่อและอีเมลเพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง ผมยกตัวอย่างเช่น สมมติผมมีเว็บให้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายรูปแล้วต้องการป๊อปอัปช่องให้ผู้เข้าชมกรอกอีเมลเพื่อแลกกับ eBook เทคนิคการถ่ายภาพ เป้าหมายก็คือการสร้าง Mailing list นั่นเอง

ถามว่ากลุ่มเป้าหมายผมกว้างไหม?

เรามาลองทำกันสองวิธี วิธีแรก… ใช้ทฤษฎีที่ผู้เชี่ยวชาญสอนให้เราทำ คือ เปิด Google AdWords Keyword Planner ขึ้นมาแล้วใส่ Keyword คำค้นหาที่กลุ่มเป้าหมายนี้น่าจะใช้เข้าไป…

opt-in for wordpress
opt-in plug-in for wordpress
pop-op for wordpress
opt-in wordpress plug-in


ฯลฯ

ผลการตรวจสอบ Demand ด้วยเครื่องมือชั้นเซียนจะพบว่า…

มีคนค้นหาคำเหล่านี้มากมาย มากมายจริงๆ มากมายจนเราเห็นแล้วคงตัดสินใจที่จะไม่ทำสินค้าตัวนี้อย่างแน่นอน!

ก็แหงล่ะครับ Demand ขนาดนี้ ทำแล้วจะคุ้มไหมล่ะ 555555

นี่ยังดีนะครับ สมัยปี 2006 ที่ผมเริ่มทำสินค้าตัวนี้ ผมลองใช้ Keywords Tool ของ Google ตัวเดียวกันนี่ล่ะค้นดู มันแจ้งว่าไม่มีคนค้นหาเลย (แสดงจำนวนเป็น -)

ปัจจุบันยังดีที่มีคนค้นหาเพิ่มขึ้นบ้าง 55555

คำถามก็คือ… แล้วผมทำอะไรทำไมทำเงินจากการขายสินค้าตัวนี้ได้มากกว่าสองล้าน ในเมื่อเครื่องมือที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเรามันบอกว่าไม่เวิร์ก!!!

เพราะผมคิดอีกแบบตามที่ผมเขียนไว้ด้านบนไงครับ… ทวนหน่อย

ตรวจสอบกลุ่มเป้าหมาย ในสองประเด็นคือ

- ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย แม้สินค้าจะทำมาเฉพาะทางมากๆ แต่กลุ่มเป้าหมายต้องกว้างขวางพอ
- ความกระหายในคนกลุ่มนั้น ถึงแม้กลุ่มเป้าหมายจะกว้าง แต่ถ้าเค้าเป็นพวกที่ไม่ควักกระเป๋าแล้วจะทำไปทำไม

เอาคำตอบแรก… ขนาดของกลุ่มเป้าหมายผม -> กว้างหรือแคบ มากหรือน้อยครับ?

คนที่ใช้ WordPress แล้วอยากได้ป๊อปอัปเก็บอีเมล… คิดว่ามากหรือน้อยครับ?

ผมว่าน้อยนะถ้าเทียบกับสัดส่วนของคนที่ใช้ WordPress ทั้งหมด แต่เดี๋ยว…

ถ้าเราลองมองถึงความต้องการของคนกลุ่มนี้ดีๆแล้วเราจะพบว่า… จริงๆคนกลุ่มนี้อยากได้ป๊อปอัปเพื่อเก็บอีเมล

โอเค เค้าอยากได้อีเมลนั่นเอง… คิดลึกไปอีกขั้นนึงดูซิ

แล้วอยากได้อีเมลเนี่ย จริงๆแล้วเอาอีเมลไปทำอะไร เค้าจะเอาอีเมลไปทำอะไรกันแน่?

เงินไงครับ เค้าอยากได้อีเมลไปเพื่อสร้าง Mailing list แล้วมันจะแปลงเป็นเงินได้นั่นเอง!

นั่นแสดงว่านิยามของกลุ่มเป้าหมายของผมจะเปลี่ยนจาก…

กลุ่มคนใช้ WordPress ที่ต้องการป๊อปอัปเพื่อเก็บอีเมล

กลายไปเป็น...

กลุ่มคนใช้ WordPress ที่ต้องการเงิน

ถูกต้องไหมครับ? คราวนี้ขนาดใหญ่ขึ้นไหมครับ? 🙂

ส่วนคำตอบของความกระหายเนี่ย ไม่ต้องหาแล้วครับ คนที่ต้องการเงินส่วนใหญ่แล้วพร้อมเอาเงินเล็กๆน้อยๆไปแลกเสมอ! มีความกระหายอย่างจ่ายเงินแน่นอน!

พอเห็นภาพกันชัดเจนถึงวิธีที่ผมใช้กันแล้วใช่ไหมครับ ผมเองไม่ได้ใช้ Google AdWords Keyword Planner มานานแล้วครับ เพราะตัวเลขที่เปิดเผยเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้ และผมก็เลือกทีจะใช้วิธีของผมเองครับ

ผมไม่ได้บอกว่า Google AdWords Keyword Planner มันไม่ดีนะครับ คือมันดีมากๆ และบอกตัวเลขได้แม่น (คิดว่านะครับ) แต่ผมแค่ถนัดในแบบของผมเองมากกว่าเท่านั้น

และถ้ามาคิดถึงในแง่เหตุและผลในการทำตลาดนะครับ… มันก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนอยู่

การใช้ Google AdWords Keyword Planner นั้นทำให้เราต้องเล่นอยู่ในเกมการตลาดแบบ “รอ”

คืออะไรครับ การตลาดแบบ “รอ”?

ก็รอคนค้นหา Keyword ผ่าน Google ไงครับ เค้าถึงจะเข้ามาในเว็บเราได้! เพราะเราไปอิงตัวเลขตามนั้น ชีวิตเราเลยได้แต่ทำเว็บแล้วเฝ้า “รอ” อย่างมีความหวังให้มีคนค้นหา Keyword ที่เราวางแผนทำ SEO ไว้ครับ

อ้าวแล้ววิธีของผมมันเป็นยังไงครับ?

มันคือการตลาดแบบ “วิ่งหน้าตั้ง” ครับ

คืออะไรเนี่ย การตลาดแบบ “วิ่งหน้าตั้ง”?

ผมเรียกแบบนี้เพราะว่าเรารู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร ถ้าให้เขียนแบ่งแบบละเอียด กลุ่มเป้าหมายของผมจะมีสองกลุ่ม

- คนใช้ WordPress ที่อยากได้ป๊อปอัป คนกลุ่มนี้ตรงเป้าตรงประเด็นมาก ใช้วิธีการแบบเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญได้เลย (แต่คนค้นหาน้อยขนาดนั้น เราจะทำไปทำไม?)
- คนใช้ WordPress ที่อยากได้เงิน คนกลุ่มนี้มีเยอะแยะ จริงๆเค้าก็อยากได้ป๊อปอัปเหมือนกันล่ะ แต่เค้าแค่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น 555

ไอ้เจ้าคนกลุ่มที่ 2 นี่ล่ะครับที่ทำให้การทำตลาดของเราไม่น่าเบื่อ เพราะมันคืองานท้าทายว่าเราจะทำตลาดยังไงให้คนกลุ่มนี้รู้ตัวว่าถ้าเค้าซื้อสินค้าเราไปแล้วเค้าจะมีโอกาสได้เงินนะ!

ผมจะยังไม่เล่าให้ฟังในตอนนี้ว่าผมใช้มุมมองการตลาดแบบไหนทำให้พวกเค้ารู้บ้าง ตอนนี้ขอแค่ท่านผู้อ่านเข้าใจ Concept คร่าวๆก็พอ

คุณรู้แค่ว่า เราต้องหาให้เจอว่าคนกลุ่มนี้เค้าสิงสถิตย์อยู่ที่ไหนกันบนอินเทอร์เน็ท และเราก็แค่ต้อง “วิ่งหน้าตั้ง” เข้าไปหาพวกเค้าเป็นพอ!

สรุปกันนิดนึงนะครับ

บทความนี้ผมได้เล่าเกี่ยวกับการพิจารณาว่าสินค้าที่เราเลือกๆมองๆมานั้นมันน่าทำไหม หลายๆคนติดปัญหาเรื่องนี้ล่ะครับ ปัญหาแรกคือไม่ใช้การพิจารณาใดๆเลยก่อนทำสินค้า อันนี้ผิดพลาดอย่างแรง ปัญหาที่สองคือไปเลือกสินค้าที่มี Demand สูงเกินไป ทะเลแดงเดือดปุดๆๆ สู้คู่แข่งไม่ไหว เจ๊ง…

จริงๆยังมีอีกแบบที่ผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกกันไว้ก็คือ ให้หาสินค้าที่มี Demand พอประมาณ แต่คู่แข่งน้อยๆ นี่ล่ะคือขุมทอง! ผมอยากยืนยันเลยว่าใช่ครับ ถ้าคุณเจอสินค้าที่มี Demand สูงๆ แต่มีคู่แข่งน้อยๆ Supply น้อยๆ มันคือขุมทองจริงๆ…

และผมก็ขอให้โชคดีนะครับ ขอให้หาเจอนะครับ 5555555

ต่อไปลองลดละเลิกการพึ่งพาเครื่องมือที่บอกตัวเลข แล้วลองใช้หนึ่งสมองสองมือคิดทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกันดูนะครับ

หวังว่าบทความนี้คงให้ความรู้กับท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

ไว้พบกันใหม่บทความหน้า

ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับ 🙂
ก๊วง IMT

ปล.บทความต่อไปอาจจะต้องใช้เวลานิดนึงนะครับ เพราะลูกๆผมปิดเทอมแล้ว ได้เวลาเที่ยวแล้วครับ!

About the author 

ก๊วง

คนไทยคนแรกและคนเดียวในปัจจุบันที่ ClickBank ควักกระเป๋าเชิญไปพูดที่เวทีต่างประเทศร่วมกับนักการตลาดออนไลน์ระดับโลก (ClickBank.com คือเว็บไซท์ขาย Digital Product อันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบัน ยอดขายมากกว่า $3 Billion USD)

{"email":"Email address invalid","url":"Website address invalid","required":"Required field missing"}

Subscribe now to get the latest updates!

>