การผจญภัยกว่า 10 ปีของผมในโลกของการทำธุรกิจออนไลน์

ประสบการณ์ของผมจะช่วยลดระยะเวลาในการทำธุรกิจออนไลน์ของคุณให้สำเร็จ

แล้วเราจะได้มีเวลาไปใช้ชีวิตกัน!!

จากคนเดินดินกินเงินเดือนสู่พ่อบ้าน Full-time

ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานเหมือนๆกับคนทั่วไปล่ะครับ ผมทำงานกินเงินเดือนตั้งแต่เรียนมหาลัยปี 2 (เผื่อคุณยังไม่รู้... ผมเรียนจบกศน. มัธยมต้นและปลาย ต่อด้วยการเข้าไปเรียนม.รามฯทันทีเมื่อรู้ว่าเอ็นไม่ติด) แต่ผมอาจจะแตกต่างจากคุณและคนส่วนใหญ่ตรงที่ผมเรียนไม่จบมหาลัยครับ!


ต้องบอกเลยว่าตัวผมเองก็คงเหมือนกับคุณและคนส่วนใหญ่ในสังคมที่เมื่อเริ่มต้นทำงาน ก็อยากหาเงินให้ได้เยอะๆ


ผมว่าคุณก็เป็นจริงไหมครับ? :P


ผมทำงานในเมือง กินเงินเดือนมาเรื่อยๆจนกระทั่งมีโอกาสได้ร่วมกับเพื่อนที่ทำงานเปิดบริษัท Software House ของตัวเองกัน ตอนนั้นก็ต้องบอกเลยว่าเหมือนฝันที่เป็นจริงเพราะผมก็คิดเหมือนคนส่วนใหญ่ว่า...


คนเราจะรวยได้ต้องมีบริษัท มีออฟฟิศ มีทีมงาน ฯลฯ


เอาจริงๆผมว่าผมก็คงคิดไม่ผิดนะครับ ผมทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนจริงๆ (ตอนนั้นทำคู่กับงานประจำไปด้วย)


รับงานจากบริษัทใหญ่ๆกันทีโปรเจ็คละเป็นหลักสิบล้านก็มี เงินดีมากๆ (แต่ตอนนั้นเงินหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ 55555)


ปัญหาก็คือ... เหนื่อยแสนเหนื่อยกับการที่ต้องมานั่งรับอารมณ์อันแปรปรวนของลูกค้าผู้เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของเรา จะเอาอะไรก็ต้องตามใจ อยากไปตีกอล์ฟผมก็ต้องพาเค้าไป ยั้งงงง ยังไม่พอ... ผมก็ยังต้องเอาใจพนักงานของตัวเองด้วย


นี่ยังไม่ได้นับว่าต้องขับรถไป-กลับที่ทำงานรวมเวลาแล้วก็วันละ 3-4 ชั่วโมงอีกนะ สาทร สุขุมวิท ไม่ใช่เล่นๆ!


เดี๋ยวนะ นี่มันชีวิตอะไรกันเนี่ย? ผมมานั่งทบทวนว่ามันใช่ชีวิตที่ผมต้องการจริงๆหรือ?


และโชคดีที่ผมคิดได้ว่า มันไม่ใช่โลกที่ผมต้องการสร้างอย่างแน่นอน...

 

- โลกที่ออฟฟิศจะผูกมัดผมไว้ให้ไปไหนไม่ได้ ต้องคอยห่วงตลอดเวลา

- โลกที่ผมต้องออกไปพบปะกับลูกค้าเพื่อนำเสนองานทุกวันเพื่อให้ได้เงิน

- โลกที่ผมต้องเอาใจลูกค้าอย่างกับบุตรในสายเลือดเพื่อให้ได้เงิน

- โลกที่ผมต้องเอาใจพนักงานของตัวเองเพื่อให้เค้าทำงานช่วยเราต่อไป


มันคือโลกที่...

ผมต้องทุ่มเวลาเกือบทั้งหมดไปแลกกับเงิน แต่กลับไม่เหลือเวลาไปทำอย่างอื่นเลย!

ในตอนนั้นผมจึงได้ตัดสินใจวางมือจากธุรกิจ Software House ปล่อยให้เพื่อนๆลุยกันต่อ ส่วนผมก็กลับมาทำงานประจำเพียงอย่างเดียวเป็นรายได้หลัก ส่วนในช่วงเลิกงานผมก็ได้ทดลองทำการหาเงินจากอินเทอร์เน็ตในหลายๆรูปแบบ ถ้านับถึงวันนี้ก็สิบกว่าปีแล้ว โอ้วววว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจริงๆครับ


แต่ก็ต้องบอกว่าเกินคุ้มจริงๆ :)


ผมเชื่อว่าตอนนี้คุณก็อาจจะมีความคิดคล้ายๆกับผมในวันนั้น... วันที่เรายังเหนื่อยกับการทำงานประจำ(หรืออาจจะเป็นงานไม่ประจำ)แต่ก็มองเห็นว่าอนาคตไม่ได้สดใสถ้าปล่อยชีวิตให้เป็นแบบนี้ต่อไป เราเลยต้องคิดทำอะไรบางอย่างขึ้นมา...


"อะไรบางอย่างที่ต้องได้ทั้งเงินและเวลากลับมา"


ใช่ไหมครับ? :)


และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตกำลังบูม ผมเห็นโฆษณาจากเว็บเมืองนอกหลายต่อหลายครั้งบอกว่า "อยู่บ้านก็สามารถรวยได้ด้วยอินเทอร์เน็ต"


และนั่นคือการจุดประกายความหวังใหม่ของผม... ผมเข้าไปศึกษารูปแบบการหาเงินจากอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าเราจะสามารถรวยอย่างง่ายดายด้วยอินเทอร์เน็ต! 555555


คิดย้อนไปแล้วก็ขำตัวเองครับว่าทำไมไปเชื่ออย่างหมดหัวใจได้ :P


โลกนี้มันไม่ง่ายแบบนั้นครับ...

อินเทอร์เน็ตทำให้ฝันของผมล่มสลายลงอีกครั้ง

ในตอนนั้นผมทดลองหาเงินจากอินเทอร์เน็ตหลายทางมากๆ เพื่อทดสอบดูว่าวิธีไหนที่ผมทำแล้วจะทำให้อนาคตของผมสามารถทำงานน้อยลงได้ คือต้องได้เงินดีระดับนึงด้วย รวมไปถึงว่าทำงานหนักในวันนี้ไม่เป็นไร แต่อนาคตต้องสามารถทำงานน้อยลงมากๆได้


เรียกว่าผมลองมาเกือบหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น...


- การขายของบน eBay, Amazon ขายของตัวเองแล้วส่งไปต่างประเทศ (e-Commerce)

- การสร้างเพจขยะมาเยอะๆแล้วทำเงินจากการวางโฆษณา Google AdSense เข้าไป (yacg, PGInsider ฯลฯ)

- การเขียนบทความตามคีย์เวิร์ดบวกกับการวางโฆษณาทำเงินแล้วหวังพึ่ง SEO บน Search Engine ต่างๆอย่าง Hotbot, Yahoo, MSN จนมาถึงยุคของ Google (เหมือนกับเพจขยะด้านบน แต่ดูดีกว่านิดนึง)

- การทำ Affiliate Marketing ขายสินค้าของคนอื่นทั้ง Physical Product และ Digital Product แล้วกินค่าส่วนแบ่ง (คอมมิชชั่น)

- การทำ PPC (Pay Per Click) บน Google AdWords


ผมทดลองแล้วก็ทำการตัดวิธีที่ดูแล้วไม่น่าจะช่วยให้ผมไปสู่ฝั่งฝันได้ทิ้งไปทีละอัน เริ่มตั้งแต่ขายของบน eBay, Amazon ซึ่งเป็นของจับต้องได้ (Physical Product) บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ผมไม่ชอบมากที่สุดเพราะผมเป็นคนไม่ชอบซื้อของมาแล้วต้องแพ็คลงกล่องเพื่อส่งไปให้ลูกค้า


คือทำใหม่ๆมันก็สนุกดี แต่พอเริ่มขายได้มากขึ้นก็เข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ทาง เพราะต้องแพ็คของเยอะมาก เวลาหายไปตามจำนวนรายการที่ขายได้เลย ถ้าขายได้เป็นพันรายการจะเอาเวลาที่ไหนไปแพ็คของฟะ? จะฟอร์มทีมก็ขี้เกียจเพราะเข็ดมาตั้งแต่ตอนทำ Software House แล้ว 55555


สร้างเพจขยะมาทำเงินนี่ไม่ต้องพูดถึง... ทำแล้วได้ตังง่ายมาก แต่ไร้อนาคตสุดๆเพราะมันคือขยะ โดนเค้าไล่แบนจนรายได้เหลือศูนย์ตลอด


เขียนบทความ SEO ก็ทำมาแล้ว แต่ Search Engine ชอบเปลี่ยนอัลกอริทึม เคยมีอันดับก็ร่วงลงตลอด ต้องคอยจับทางตลอด ก็เลยลาก่อยยยยยยย


ทำ Affiliate Marketing ด้วย PPC อันนี้ชอบมาก สมัยนั้นเรียกว่าเคยจะฝากอนาคตไว้กับวิธีนี้เลย ทำจนได้ Google AdWords Certified Individual มาประดับเพื่อรับงานด้วย แต่เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่หลังจากทำไปปีกว่า...


เพราะเวลาโปรโมทสินค้าตัวหนึ่งได้ดีแล้ว มันชอบยกเลิก Affiliate Program ทิ้ง ไม่ให้เราโปรโมทต่อ เพราะสินค้าเค้าเริ่มติดตลาดเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บเราไว้อีกต่อไป


ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนสินค้าไปเรื่อยๆ มันก็จะจบลงที่รูปแบบของการไม่ให้เราโปรโมทต่อเกือบทุกครั้ง!


ในตอนนั้นผมบอกกับตัวเองเลยว่า... "ฝันของผมล่มสลายอีกแล้ว"


ชิบหายแล้ว ทั้งเวลาเป็นปีๆและเงินที่ลงทุนไปหลายแสนเพื่อเข้าเรียนคอร์สของพวกกูรูต่างๆ 


มันไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผมหรือนี่ อุตส่าห์ยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตช่วงนึงเพื่อเรียนคอร์สราคาเป็นแสน ความพยายามของผมกำลังจะสูญเปล่า


อินเทอร์เน็ตไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผมสร้างรายได้ที่มากพอและสามารถมีเวลาไปใช้ชีวิตในแบบที่ผมต้องการได้!


จนกระทั่ง ผมมานั่งทบทวนแล้วค้นพบสิ่งหนึ่งที่คนทุกคนควรจะมองเห็นแต่กลับมองไม่เห็นว่า...


กูรู กูลวง ที่ทำเงินมากมายจากอินเทอร์เน็ตนั้น

​​​​​​​​​​​​​​เค้าไม่ได้ทำสิ่งที่เค้าสอนเป็นหลัก
แต่...เกือบทุกคนทำในสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันหมด

​​​​นั่นก็คือ... เค้าขายสิ่งที่เรียกว่า "Digital Product" หรือสินค้าดิจิตอลนั่นเอง!


ไม่ว่าจะเป็นกูรูที่ขายคอร์สสอนขายสินค้าบน eBay, Amazon เค้าก็ขายสินค้าบน eBay, Amazon แค่พอขายได้ระดับนึงแล้วก็มาขายคอร์สต่อ ผมยังไม่พูดถึงเหตุผลละกัน แต่ผมบอกนักเรียนและคนรอบตัวของผมเสมอว่า... 


"อย่าเชื่อในสิ่งที่เค้าพูด ให้ดูและเชื่อในสิ่งที่เค้าทำ"


พวกกูรูเนี่ย... เค้าจะสอนโน่นนี่เต็มไปหมด บางคนทำมาจริงจัง บางคนทำมาแค่พอได้ผลลัพธ์ระดับนึง บางคนทำมาผิวเผิน บางคนไม่เคยทำจริงมาเลยก็มี แต่ให้ลองดูว่าเค้าทำอะไรที่เหมือนกันหมดบ้าง?


ก็ขายคอร์สของตัวเองไง!


ผมขอขยายความคือ... ขายความรู้ ขายวิธีการแก้ปัญหา และเกือบ 100% ขายในรูปแบบของ Digital Product หลักๆมี 3 รูปแบบย่อยก็คือ eBook คอร์สแบบเป็นวีดีโอ และซอฟท์แวร์


มันทำให้ผมได้มาคิดว่า... อ๋อ นี่มันคืออีกเกมนึงนี่นา! 


ตอนเราทำ Affiliate Marketing ขายสินค้าคนอื่นแล้วกินค่าส่วนแบ่งเนี่ย เราเล่นอยู่ในเกมของเจ้าของสินค้า เมื่อสินค้าเค้าชื่อติดตลาดแล้วเค้าก็ตัดเราออกจากเกมได้


ถ้าเราเป็นเจ้าของสินค้าเองบ้าง ก็เหมือนเราเป็นคนคุมเกม เราก็จะสามารถหาคนมาโปรโมทขายสินค้าให้เราได้เหมือนกัน เราก็แบ่งค่าคอมมิชชั่นให้เค้าได้ พอถึงเวลาเราก็สามารถถีบเค้าออกจากเกมได้เหมือนกัน 55555


วันนั้นทำให้ผมตาสว่าง... จนมีวันนี้

เมื่อฝันลมๆแล้งๆเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ในตอนนั้นผมทิ้งทุกวิธีแล้วมาโฟกัสกับการหาเงินบนอินเทอร์เน็ตจากการเป็นเจ้าของ Digital Product เอง ผมสร้าง Digital Product ของตัวเองขึ้นมาทั้งๆที่ไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษ ขอยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษก็สามารถขายของให้ชาวต่างชาติได้ครับ


ผมไม่อยากพูดลอยๆ ผมเอาคลิปแรกของผมให้ดูเลยละกันว่าภาษาผมห่วยขนาดไหนในตอนนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าใครๆก็ขาย Digital Product ให้กับพวกต่างชาติได้เหมือนกัน ขอแค่เตรียมสคริปท์ไว้ก่อนแล้วพูดตาม 


อันนี้เป็นวีดีโอที่ผมพูดภาษาอังกฤษเพื่อขาย Digital Product ตัวนึงของผมในช่วงปี 2008 (อย่าเปิดเสียงดัง ผมอาย 555555)

ผมบอกเลยว่า ผมโชคดีมากๆที่ตอนนั้นตัดสินใจทำคลิปนี้ออกมา อาจจะเพราะความหน้าด้านและไม่คิดว่าจะมีคนดูเท่าไหร่ 55555 แต่คลิปนี้มีคนดูหนึ่งหมื่นกว่าวิว (ตรงกลุ่มเป้าหมาย 100%) และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขาย Digital Product ของตัวเองได้!


ดูเม้นสิ กินใจมากๆ 55555

แต่พอเริ่มได้เงินแล้ว ผมก็ใช้วิธีจ้างคนมาพูดทับในวีดีโอแทนเสียงของผมนะครับ 55555


ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองเลยว่า "ใช่" นี่ล่ะธุรกิจในฝันของผม


ทำไมผมถึงบอกว่านี่เป็นธุรกิจในฝันของผม?


ขาย Digital Product ได้เงินก็จริง แล้วเวลาล่ะ?


ก็เนื่องจากมันเป็น Digital Product เวลาลูกค้าจ่ายเงินซื้อเสร็จ ระบบของผมก็จะจัดการส่งช่องทางการดาวน์โหลด Digital Product ของผมให้กับลูกค้าโดยอัตโนมัติแบบ 100% เลยครับ


นั่นหมายความว่า... ไม่ว่าผมจะขายดีขนาดไหน จะขายได้ 1 รายการ หรือ 1,000,000 รายการ ระบบที่ผมตั้งเอาไว้ก็จะทำการส่งสินค้าของผมไปให้ลูกค้าแบบอัตโนมัติ 100% โดยที่ผมไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆครับ


ไม่ว่าผมจะหลับ จะเที่ยว หรือเยี่ยวอยู่ ระบบการขายยันการจัดส่งก็จะทำงานแทนผมแทบจะ 100% โดยที่ผมไม่ต้องมีพนักงานเลย


และปัจจุบันผมก็ยังคงไม่มีพนักงานอยู่ :)


มันยังมีข้อดีที่มากกว่านี้อยู่อีกครับ ไว้ค่อยเหลาให้ฟังต่อด้านล่าง...


ลองคิดดูสิครับว่า...


จะดีไหมถ้าช่วงปลายปีที่คุณกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ มือถือของคุณได้รับข้อความแจ้งว่าได้รับเงินรัวๆแบบรูปด้านล่างนี้ โดยที่คุณสามารถสบายใจและโฟกัสอยู่กับการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่

รูปผมในช่วงวันส่งท้ายปีไหนผมจำไม่ได้ แต่ผมอยากแสดงให้คุณดูว่าคุณก็สามารถมีรายได้ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวเหมือนผม ลองคลิกที่นี่เพื่ออ่านเพิ่มเติมว่าผมทำงานยังไงในช่วงท่องเที่ยว

ตั้งแต่ผมโฟกัสไปที่การเป็นเจ้าของ Digital Product เอง ผลลัพธ์ของผมก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ผมสามารถสร้างรายได้จากอินเทอร์เน็ตมาตลอดโดยไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการใดๆจนกระทั่งปัจจุบัน (คลิกที่รูปด้านล่างเพื่อขยายดูได้ครับ) อาจจะมีเปลี่ยนเครื่องมือและเทคนิคเล็กๆน้อยๆบ้างแต่โมเดลหลักไม่เปลี่ยน ธุรกิจที่สร้างมาไม่สลายกลายเป็นศูนย์

ผมสร้างอาณาจักรออนไลน์แบบ Digital Product ของผมมาพร้อมๆกับการทำงานประจำไปด้วย... จนมันสามารถแทนที่เงินเดือนผมได้ แต่พอมันเป็นระบบแล้ว ผมใช้เวลาไปกับมันน้อยมากๆ น้อยจนแบบผมไม่จำเป็นต้องออกจากงานประจำเลย


แต่สุดท้ายผมก็ต้องออกจากงานประจำเมื่อปี 2011 เพื่อมาเลี้ยงลูกเล็กกับภรรยาจนกระทั่งปัจจุบันผมมีลูก 2 คนแล้ว

ผมไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนกับภรรยาแทบจะทุกวัน


เพราะนั่นคือความหมายทั้งหมดของชีวิตผมครับ! :)


แม้ว่าผมจะออกมาเลี้ยงลูกแต่ผมก็ยังคงขยายอาณาจักรออนไลน์แบบ Digital Product ของผมออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึง ClickBank คงเห็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจของผม ทาง Marketing Manager ของเค้าจึงร่อนอีเมลมาเชิญไปพูดที่งาน ClickBank Asia ครับ

ธุรกิจออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่าย
(ถ้าคุณไม่รู้วิธีเล่นกับมัน)

มาถึงตรงนี้ผมต้องบอกก่อนว่า... ผมไม่ได้พูดว่ารูปแบบของการหาเงินจากอินเทอร์เน็ตด้วยวิธีอื่นไม่ดีนะครับ


ทุกวิธีมันมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของมัน ขึ้นอยู่กับเรามากกว่าว่าเรา "อิน" กับรูปแบบวิธีไหน


จริงๆแล้วผมเชื่อว่าทุกวิธีที่ผมทิ้งไปก็สามารถสร้างให้เป็นธุรกิจออนไลน์ที่ดีและตอบโจทย์ผมได้เช่นกัน แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม เพราะผมไม่ถนัดในเรื่องการจัดการคนและองค์กร


ผมชอบอิสระกับการไม่ต้องยึดติด (เหมือนชื่อจริงของผมเลย 555)


ไม่ว่าคุณจะทำ e-Commerce หรือ Affiliate Marketing หรือเขียนบล็อกทำเงินจากพื้นที่โฆษณา หรือแม้แต่แอปบนมือถือ จริงๆคุณสามารถจ้างคนและทีมงานมาทำงานแทนคุณได้ และคุณก็จะสามารถมีทั้งรายได้และเวลาไปใช้ชีวิตได้เหมือนผมเช่นกัน


เพียงแต่คุณต้องรู้จักกับการจัดการคนกับเจ้าตัวธุรกิจนั้นเท่านั้นเอง!


จากประสบการณ์ของผมตั้งแต่สมัยทำบริษัทของตัวเองมาก็คือ... กระบวนการทางธุรกิจมันพอจะจัดการให้เป็นระบบได้


แต่เรื่องคนที่ไม่ว่าผมจะพยายามเท่าไหร่ ผมก็ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์และความเปลี่ยนแปลงของคนได้


ผมจึงเลือกเดินทางนี้ครับ ไม่ต้องมีพนักงานประจำ ไม่ต้องมีออฟฟิศ อยากเที่ยวยาวสักเดือนแบบไม่ต้องพ่วงติดกับวันหยุดยาวก็ไปได้


อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ... เกมของสายเจ้าของ Digital Product เป็นเกมที่สร้างสรรค์มากๆ เรียกว่าต่างกับการขายสินค้าพวก Physical Product อย่างสิ้นเชิง ซึ่งในตลาด e-Commerce ไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศเราก็จะพบเจอแต่...

การเลียนแบบและตัดราคากันจนตลาดเน่า!

ใช่ครับ... ผมว่าคุณคงเห็นภาพชัดเจนแม้ว่าผมจะยังไม่อธิบายอะไร


คนขาย Physical Product ส่วนใหญ่เวลาไปพบว่าช่วงนี้คนอื่นขายอะไรดี เค้าก็จะไปค้นหาต้นทางของสินค้านั้น (ส่วนใหญ่ก็มาจากจีน) แล้วก็พยายามหาทางทำให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุดเพื่อจะสามารถนำมาขายในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้


สมมติว่าช่วงนี้ร้าน ABC ขายแก้ว Liverpool ในราคา 250 บาทได้ดีมากๆ...

เมื่อร้าน DEF มาเห็น... เค้าก็จะไปหาทางสั่งจากจีนมาให้ขายในราคาที่ต่ำกว่าร้าน ABC ให้ได้

 

สมมติเค้าหามาได้ที่ต้นทุนแก้วละ 50 ร้าน DEF ก็อาจจะตั้งราคาขายที่ 220 บาทเพื่อให้คนหันมาซื้อจากเค้าเพราะราคาถูกกว่า


พอ DEF ขายได้มากกว่า ABC แล้วร้าน GHI มาเห็นว่าร้าน DEF ขายดีมากที่ราคา 220 บาท เค้าก็ไปสั่งมาขายบ้าง

แต่เพื่อให้ขายได้ดีกว่าร้าน DEF ร้าน GHI จึงตั้งราคาให้ถูกกว่าเหลือ 180 บาทก็พอ ก็ยังมีกำไรเหลือนี่นา


ก็วนกันไปมาแบบนี้จนมาถึงร้าน XYZ เอามาขายในราคาที่แทบจะไม่มีกำไร


พอ XYZ ขายได้ดีสุด ร้านอื่นที่เคยขายแพงกว่าก็จะขายไม่ออก คราวนี้ของค้างสต๊อกก็ต้องเคลียร์ทิ้งไปด้วยราคาที่เท่าทุนหรือต่ำกว่าทุน!


กลายเป็นว่าไอ้แก้วนี้เคยขายในราคาที่ต่ำกว่าทุนจนคนซื้อจำได้ว่ามันเคยราคาถูกมากๆ

หลังจากนี้พอมีร้านไหนเอามาขายแบบบวกกำไรก็กลายเป็นขายไม่ได้...


นี่ไงครับ "ตลาดเน่า"


ผมไม่ได้บอกว่าทุกร้านจะเป็นแบบนี้หมดนะครับ แต่เราหลีกหนีความจริงไม่ได้ว่าเกือบร้อยทั้งร้อยของคนทำ e-Commerce ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น!


และที่สำคัญ... Marketplace ที่ทำธุรกิจแบบ Local ตามประเทศต่างๆก็เรียกว่ามีนโยบายที่ก้ำกึ่งว่าจะสนับสนุนการทำแบบนี้เสียด้วยครับ


ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังโดยเฉพาะถ้าคุณสนใจจะทำ e-Commerce ขาย Physical Product บน Marketplace ที่ผมบอกในด้านบน เช่น Lazada, Shopee ในไทย


คุณพร้อมจะฟังข้อมูลนี้หรือยังครับ?

Marketplace เค้าเล่นเกมที่แตกต่างจากเรา

ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินคำว่า Start-up บ่อยๆ และ Marketplace ตาม Local พวกนี้เค้าก็ทำธุรกิจในแนวทางของ Start-up เกือบทั้งนั้นครับ เกมของเค้ามองไม่ยากครับ


ลองมาดูผลประกอบการของ Lazada และ Shopee กัน (ขอบคุณข้อมูลจาก Marketeer ครับ)

ขาดทุนทุกปี ขาดทุนมากด้วย คุณคิดว่า Lazada กับ Shopee และ Marketplace อื่นๆแนวนี้เค้าทำอะไรอยู่กันแน่ครับ?


โมเดลธุรกิจของพวกเค้าในเฟสนี้ไม่ใช่การทำกำไรจากทั้งคนขายและคนซื้อบนระบบของเค้า


เค้าทุ่มงบการตลาดไปมากมายเพื่อให้คนซื้อและคนขายเข้ามาอยู่ในฐานข้อมูลของเค้าให้มากที่สุด แบบจัดโปรส่วนลดแล้วทาง Marketplace จ่ายส่วนต่างเอง


เรียกว่าคนขายได้เงินเท่าเดิม คนซื้อจ่ายเงินน้อยลง เดี๋ยว Marketplace ออกส่วนต่างให้เอง โคตรใจป้ำ!


พอจะเห็นเกมของเค้าหรือยังครับ?


เกมของเค้าก็คือการสร้างฐานข้อมูลของคนขายและคนซื้อให้มากที่สุดครับ เพื่อในอนาคตเค้าจะได้เอาธุรกิจไปขายให้กับนักลงทุนที่สเกลใหญ่กว่าเค้าแล้วรับเงินก้อนยักษ์ไปแทน ง่ายๆก็คือเค้าขาย Big Data นั่นเอง


แล้วมันเกี่ยวข้องกับคำพูดของผมที่ว่านโยบายของเค้าดูเหมือนจะก้ำกึ่งกับการสนับสนุนให้คนขายตัดราคากันอย่างไรครับ?


ก็ถ้าคนขายเค้ามีจำนวนมากขึ้น คนซื้อมากขึ้น รายการซื้อมากขึ้น จำนวนผู้ใช้หรือฐานข้อมูลเค้าก็จะใหญ่ขึ้นไงครับ


ข้อมูลที่ผมได้มาจากคนข้างใน Marketplace (ขอสงวนชื่อไว้ณ.ที่นี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัว) เค้าบอกว่าระบบของ Marketplace เองเค้าจะกระจายให้คนซื้อได้เห็นร้านใหม่ๆที่เพิ่งเปิดมากกว่าร้านกลางๆอีกนะครับ ประมาณว่าเค้าจะแบ่งร้านขายเป็น 3 ระดับ ระดับบนคือพวกแบรนด์ดัง อันนั้นต้องยกให้คนซื้อเห็นบ่อยแน่นอน รายได้ใหญ่ๆจะกระจุกอยู่ที่ระดับนี้ครับ


ระดับต่อมาคือระดับกลาง จะเป็นพวกร้านทั่วไปที่เปิดมาสักพัก พอมียอดขายเรื่อยๆ อันนี้เค้าจะดูแลแบบ... เงียบๆ :P


และต่อมาคือระดับล่าง เป็นพวกร้านเปิดใหม่ที่ระบบจะพยายามดันให้มียอดขายกระจายๆกันไปเพื่อให้ร้านเปิดใหม่รู้สึกว่าลงของแล้วขายได้ จะได้หาของมาลงขายเพิ่มและบอกต่อครับ


ผมก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่ผมได้มามันถูกต้อง 100% หรือไม่ แต่ถ้าถามผมก็ต้องบอกว่ามันก็สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจของ Marketplace เหล่านี้อยู่


และถ้ามันเป็นจริงนั่นก็คือ... เค้าสนับสนุนให้คนมาเปิดร้านใหม่มากๆ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการเปิดร้านใหม่ก็คือดูว่าสินค้าอะไรขายดีอยู่ แล้วก็เอามาตัดราคานั่นเอง!


แบบนี้เองทำให้สินค้าที่ขายดีนั้นมีอายุการทำเงินสั้นมากๆ เพราะคนแย่งกันตัดราคา สินค้าที่ขายดีๆทำเงินให้เราดีๆ จะอยู่ได้ไม่นานนักเพราะจะมีคู่แข่งมาไล่ตัดราคากันนั่นเอง (เวลาโกยได้ต้องรีบโกยเลยครับ)


ผมถึงบอกว่าเราอาจจะเล่น "คนละเกม" กับเค้าอยู่ คือถ้ามันสอดคล้องกับเป้าหมายเราก็โอ


แต่ถ้าไม่... เราก็ต้องพิจารณาดีๆครับ


แน่นอนว่าทางรอดในระยะยาวของการทำ e-Commerce พวกนี้ยังมีอยู่แน่นอนนั่นก็คือการสร้างแบรนด์ของสินค้าเราเอง การเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว หรือแม้แต่การสร้าง Marketplace ขึ้นมาเอง อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าคุณอยากอยู่รอดในตลาดนี้ คุณต้องทำครับ


ส่วนผมก็อย่างที่บอกครับ ผมไม่ชอบลงทุนสูง ไม่ชอบความยุ่งยากของกระบวนการขาย Physical Product รวมไปถึงการที่ต้องมีทีมใหญ่มาบริหารจัดการครับ


ผมย้ำอีกครั้งว่าจุดมุ่งหมายของผมคือ... 


การสร้างรายได้ที่ผมพอใจ (พอใจ + ฟุ่มเฟือยได้บ้าง) และต้องมีเวลากลับมาให้มากที่สุดครับ ไม่ได้ต้องการสร้างบริษัทไปเข้ามหาชนใดๆ


ผมเลยเผ่นไปทำสินค้าดิจิตอลหรือ Digital Product เรียบร้อยโรงเรียนเสรี! 55555

ClickBank, สินค้าดิจิตอล, $3 Billion USD?

ผมอยากบอกว่ามูลค่าเงินที่หมุนอยู่ในตลาด Digital Product นั้นไม่ได้สูงเหมือนพวก Physical Product ครับ ผมไม่เคยเอาตัวเลขมาเปรียบเทียบกันนะครับ แต่คิดว่าเงินที่หมุนอยู่ในตลาดของ Physical Product นั้นน่าจะมากกว่า Digital Product อยู่หลายสิบหรือร้อยเท่าเลยทีเดียว


แต่ก็อย่าลืมไปดูที่ส่วนของกำไรด้วยนะครับ Digital Product นี่กำไรแทบจะ 100% ของราคาขายเลย ส่วน Physical Product มีตั้งแต่กำไรนิดเดียวยันสูงมากๆเช่นกัน แล้วแต่ว่าเราขายสินค้าแบบไหน


ตัว ClickBank เองซึ่งปัจจุบันเป็น Marketplace ของ Digital Product อันดับหนึ่งของโลกเค้าเปิดเผยเมื่อปี-สองปีก่อนว่ารายได้ของเค้าทะลุ $3 Billion USD ไปแล้ว ลูกค้าที่ซื้อ Digital Product ผ่านระบบของเค้ามีมากกว่า 200,000,000+ คนทั่วโลก ส่วนคนขายก็มีมากกว่า 6,000,000+ คนจากทั่วโลกเช่นกัน


ก็ต้องถือว่าเป็นเม็ดเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว... และ $3 Billion USD นี่แค่เงินที่มันไหลเข้า ClickBank ที่เดียวเองนะครับ!


ยังมีเจ้าของ Digital Product อีกเยอะแยะมากมายที่เค้าขายนอก ClickBank

อู้ววววววว!


เราขอแค่เข้าไปแบ่งส่วนบุญออกมานิดๆหน่อยๆก็สามารถใช้ชีวิตดีๆได้แล้ว 55555


ที่น่าสนใจก็คือ...


แม้ว่า Digital Product จะมีมานานแล้ว แต่ในหมู่คนไทยก็ยังมีคนที่รู้จัก Digital Product แล้วเข้าไปทำจริงจังน้อยมากๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นคนไทยทำก็มักจะทำขายคนไทยด้วยกัน ไม่ค่อยไปขายเมืองนอก พอทำแล้วก็ขายสัมมนา ขายงานที่ปรึกษากันต่อ ซึ่งก็ไม่มีถูกผิดเช่นเดิม โลกของ Digital Product มันมีหลายโมเดลมากๆ แต่ของเมืองนอกก็จะแตกต่างจากทำในไทยอยู่พอสมควร


หลายๆวิธีที่เค้าทำกันในไทยก็อาจจะใช้ไม่ได้กับเมืองนอก เช่น แบรนด์ตัวเองขึ้นมาเป็นกูรูในชั่วข้ามคืน แล้วก็ไปพาร์ทเนอร์กับกูรูคนอื่น อวยกันเอง ช่วยกันขายสินค้ากันไปมา แบบนี้อาจจะยากหน่อยถ้าจะเอาไปทำกับเมืองนอก เพราะเค้าผ่านเฟสของการสแคมแบบนี้กันมาสักพักแล้ว


แต่สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ เราควรจะไปทำขายเมืองนอกเลยครับเพราะ... ตลาดโกลบอลมันใหญ่กว่าตลาดไทยมากมายนัก!


ไหนๆก็จะทำอยู่แล้ว ก็ทำตลาดโกลบอลไปเลยครับ รับรองสนุกกว่าเยอะ (แถมเม็ดเงินก็เยอะกว่ามากด้วย!)


มาสร้างอาณาจักรออนไลน์ของตัวคุณเองกันครับ


ใช่ครับ ผมเรียกมันว่า "อาณาจักรออนไลน์" :)

คุณ(หรือใคร)ก็สามารถสร้าง Digital Product ของตัวเองไปขายตลาดนอกได้

ผมเห็นคนทั่วไปมากมายที่ไม่เคยสร้างรายได้จากอินเทอร์เน็ตมาก่อนก็สามารถเริ่มต้นทำเงินจากการขาย Digital Product ของตัวเองได้ เมื่อก่อนผมเห็นแต่เมืองนอก แต่ตอนนี้ผมเริ่มเห็นคนไทยหลายๆคนเริ่มทยอยทำได้แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะนักเรียนของผมหลายๆคน :P


Digital Product ของผมเองคงไม่ต้องเอามาให้ดูแล้ว ผมขออวดผลงานของนักเรียนผมแทนดีกว่าครับ เพื่อยืนยันว่าใครๆก็สามารถทำ Digital Product ของตัวเองไปขายเมืองนอกได้เช่นกัน และกำลังเพิ่มมาเรื่อยๆครับ (คลิกที่รูปเพื่อขยายดูได้ครับ)

ไม่ใช่แค่ผม แต่ทุกคนก็สามารถทำเสกเงินดอลล์เข้ากระเป๋าตังค์ตัวเองได้เช่นกันครับ :)

ขอแค่มีความตั้งใจ ไม่ย่อท้อ ทำได้แน่นอนครับ :)


แต่การทำจริง ผมแนะนำว่าให้วางแผนดีๆครับ เจ้าอาณาจักร Digital Product ของเรามันจะได้อยู่ทำเงินให้เราไปได้นานๆครับ :)

(มีสินค้าตัวนึงของผมใช้เวลาทำและปรับปรุงไม่เกิน 15 วัน แต่ทำเงินให้ผมยาวนานถึง 6 ปีกว่า!)


ขอเพียงเรามีความรู้เฉพาะทางที่มีคนอยากเรียน หรือเรามีวิธีการแก้ปัญหาของคนที่ติดปัญหาเหล่านั้นอยู่ เราก็สามารถนำมาทำเป็น Digital Product ได้ครับ จากรูปด้านบนก็จะมีการขาย "วิธีการทำให้หน้าอ่อนเยาว์ด้วยนิ้ว" "การตกแต่งบ้านด้วยศาสตร์ฮวงจุ้ยเพื่อดึงดูดความมั่นคั่ง" "เครื่องมือเพิ่ม Conversion ให้กับเว็บไซท์" "การแก้ปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อผิดปกติ"


หรือจะเป็นเรื่อง "วิธีการปลูกและดูแลเห็ดที่สวนหลังบ้าน" "วิธีการเล่นเปียโนสำหรับสายโอตาคุ" "วิธีวาดรูปเหมือน" ฯลฯ


พวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมยกมาพูดลอยๆนะครับ แต่มันเป็นสิ่งที่เค้าขาย Digital Product เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้กันอยู่แล้วจริงๆ


ที่น่าสนใจคือ... บางคนไม่ได้รู้วิธีการแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง แต่ก็สามารถไปจ้างคนที่รู้มาสร้างเป็น Digital Product ขายได้เช่นกัน


อาณาจักรออนไลน์มันแตกต่างกับการขายของออนไลน์ที่คุณเคยเห็น(หรือเคยทำ)อย่างมาก!

การสร้างอาณาจักร... มันไม่ใช่แค่ว่าคุณจะเขียน eBook หรืออัดวีดีโอขึ้นมาแล้วส่งไปขายเลย แบบนั้นคือขาย Digital Product แบบทั่วไปครับ อาจจะสร้างรายได้ให้คุณได้บ้าง แต่อาจจะหวังผลไม่ได้ในระยะยาว


ถ้าคุณต้องการสร้างอะไรที่หวังผลได้ในระยะยาว คุณจะต้องสร้างอาณาจักรของคุณขึ้นมาครับ


และการสร้างอาณาจักรออนไลน์ขึ้นมา คุณต้องเตรียมแผนการไว้ตั้งแต่เริ่มต้นครับ ไม่งั้นสิ่งที่สร้างไว้อาจกลายเป็นศูนย์ได้


เชื่อผมครับ ผมเรียนมา เอ้ย... ผมทำให้มันกลายเป็นศูนย์มาแล้ว! 55555


ผมใช้เวลาในการเรียนรู้สิ่งนี้มาราวๆ 4-5 ปี บอกตรงๆว่าเสียดายเวลาที่ทำไปก่อนหน้านั้นมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้ สมัยช่วยแรกๆผมนั่งทำงานคนเดียวดุ่ยๆ ไม่ได้คุยกับใคร เลยเสียเวลาไปนานมาก


ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงไม่ต้องใช้เวลาในการสร้างอาณาจักรของตัวเองนานขนาดนี้!


เอาล่ะครับ... ถ้าเราต้องการจะสร้างอาณาจักรออนไลน์ของเราขึ้นมาเอง


เราควรจะต้องจัดสัก 4 ดอก! (กุญแจครับคุณ ผมพูดถึงกุญแจ!)


คลิกที่ปุ่มด้านล่างเพื่อเปิดอ่านเจ้า "กุญแจ 4 ดอกสู่การสร้างอาณาจักรออนไลน์" ของคุณเองได้เลยครับ (ถ้าคุณยังไม่ได้อ่าน)

คนไทยคนแรกและคนเดียวในปัจจุบันที่ ClickBank.com ควักกระเป๋าเชิญให้ไปพูดบนเวทีต่างประเทศร่วมกับนักการตลาดออนไลน์ระดับโลกในหัวข้อ "How to start a digital business like a PRO" (ClickBank คือ Marketplace ของสินค้าดิจิตอลอันดับหนึ่งของโลกสร้างยอดขายไปมากกว่า $3 Billion USD - ย้ำว่าไม่ได้จ่ายตังเองเพื่อขอไปขึ้นพูดแปบๆบนเวทีแล้วถ่ายรูปมาอวดโลก)

ปัจจุบันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลรับ-ส่งลูกสองคนไปโรงเรียนพร้อมกับภรรยา ส่องนก เล่นเกม ท่องเที่ยว สอนคนไทย ฯลฯ

ปล. "กุญแจ 4 ดอกสู่การสร้างอาณาจักรออนไลน์" สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆธุรกิจออนไลน์เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Digital Product หรือ Physical Product ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบ e-Commerce, Dropship, POD, Affiliate Marketing ฯลฯ แนะนำว่าห้ามพลาดเลยครับ :)

Copyright 2018, IMT Inspiration & Services - Disclaimer

>